คำเผยพระวจนะส่วนตัว
 

 

หนังสือนี้ แปลย่อๆ จากหนังสือของผู้รับใช้ต่างประเทศ นานแล้ว จึงไม่มีต้นฉบับ ทำให้ไม่ทราบชื่อผู้รับใช้ที่ชัดเจน แปลย่อพิมพ์บนกระดาษ A4 ได้ 27 หน้ากระดาษ จึงนำมาพิมพ์เก็บไว้ใน Web เผื่อผู้เชื่อจะได้อ่าน หรือ ทำสำเนา ไว้สั่งสอนต่อไป

 
 
 
  อนึ่ง คำสอนเหล่านี้ เป็นคำสอนชั้นสูง ท่านควรมีความรู้ชั้นต้น และชั้นกลาง ก่อน ในเรื่องการเผยพระวจนะ หากไม่เข้าใจประการใดในเรื่องที่เกี่ยวข้อง อาจถามมาที่ InJesusName2000@hotmail.com  
 
 
   
 
 
 

บทนำ

 
 

ในช่วงเกือบ 40 ปี ผู้เขียนหนังสือนี้ ได้วางมือและเผยพระวจนะส่วนตัวมากกว่า 15,000 คน ตั้งแต่บุคคลที่เป็นทารก จนถึงผู้นำคริสตจักรระดับนานาชาติ ตั้งแต่ชาวนาจนถึงนักการเมืองและผู้คนต่างๆทุกอาชีพ ท่านผู้เขียนได้รับการเผยพระวจนะส่วนตัวจำนวนมากจากผู้อื่นด้วย ทั้งหมดได้รับการบันทึกและพิมพ์ในสมุดหนา 5 นิ้ว มีทั้งหมด 600 แผ่น (พิมพ์สองหน้า) มีคำเผยฯมากกว่า 150,000 คำ

ที่น่าประหลาดใจคือ ในจำนวนคำเผยฯกว่าพันโดยคนหลายร้อยคนทั่วโลก ไม่มีข้อขัดแย้งในตำแหน่งงานรับใช้ของท่าน และการทรงเรียกของท่านเลย

 

 
top
บทที่ 1 พระเจ้าต้องการที่จะสื่อสาร  
 

ตั้งแต่สมัยอาดัมมา หูและตาของมนุษย์ได้ถูกบาปทำให้ไม่ได้ยินและเห็นพระเจ้า

คำเผยฯส่วนตัวให้การยืนยันและคำพยาน ข้อแนะนำของพระเจ้าคือ ทำถ้อยคำจำเป็นต้องมีพยานและยืนยัน โดยปากของผู้เป็นพยาน 2 หรือ 3 คน (2คร13:1) โดยปกติพระเจ้ามีความกระตือรือร้นที่จะพูดกับเรา มากกว่าที่เราจะฟังพระองค์ แต่พระองค์ก็จะไม่ทำลายตารางงานที่ยุ่งเหยิงของเรา พระองค์พยายามที่จะตะโกนสู้กับเสียงของทีวี หรือ งานสังคม (บ่อยครั้งที่พระองค์จะติดต่อกับเราขณะนอนหลับ)

การให้คำแนะนำแก่บุคคลที่เขาเชื่อว่า เขาได้รับคำเผยพระวจนะส่วนตัวที่แท้จริงจากพระเจ้า ต้องระมัดระวังอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นคำเผยฯที่แท้จริง ถ้าไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง หรือตอบสนองอย่างถูกทาง ก็สามารถสร้างความสับสนได้ และตัดสินใจผิดพลาด ในหมู่คริสเตียนที่ยังไม่เติบโต ไม่มั่นคง หรือยังไม่ได้รับการศึกษาพระคัมภีร์

การเผยพระวจนะไม่ใช่ของเล่นเด็ก เป็นสารเคมีที่ร้ายแรงในห้องทดลองของพระเจ้า ซึ่งต้องได้รับการจัดการโดยมือที่มีประสบการณ์ และใช้ภายใต้การแนะนำที่ถูกต้อง

 

 
  บทที่ 2 วัตถุประสงค์ (น้ำพระทัย) ของพระเจ้าสำหรับผู้พยากรณ์  
 

ผู้พยากรณ์เป็นสิ่งพิเศษในจิตใจของพระเจ้า เป็นการทรงเจิมของผู้พยากรณ์เหนือผู้อาวุโส พระเยโฮวาห์ไม่ตรัสกับกษัตริย์ของพระองค์หรือประชากร แต่ตรัสโดยผ่านผู้พยากรณ์ ผู้พยากรณ์เป็นผู้ที่อยู่ใกล้จิตใจของพระเจ้ามาก พระองค์ตรัสว่า "ให้เชื่อผู้พยากรณ์ของพระองค์ และท่านจะจำเริญมั่งคั่ง" (สดด 105:15 มธ 10:41 1คร12:28 , 2 พศด 20:20)

ความล้มเหลว หรือความผิดพลาด ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้พยากรณ์ หรือไม่ยอมให้เขาพูด เป็นการปฏิเสธ ไม่อนุญาติให้พระเจ้าตรัส

ผู้พยากรณ์จัดเตรียมมรรคา(ทาง) สำหรับการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระคริสต์ ยอห์นผู้บัพติศมาจัดเตรียมทางสำหรับพระคริสต์ในครั้งแรก ปัจจุบันนี้ กลุ่มผู้พยากรณ์จะจัดเตรียมทางสำหรับการเสด็จครั้งที่ 2 ของพระคริสต์ กลุ่มผู้พยากรณ์ได้ลุกขึ้นมาในปี 1980 พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้ผู้เขียนทราบว่า มีผู้พยากรณ์อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือประมาณ 10,000 คน ผู้พยากรณ์เตรียมมรรคาใน 2 ทาง คือ

  • หนึ่ง เตรียมทางสำหรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
  • สอง เขาเตรียมประชากรให้พร้อมสำหรับพระองค์ (อสย 40:3 , ลก 1:17)

พระแสงของคริสตจักร คือ พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งทำให้คม โดยการสำแดงความรู้(วิวรณ์)โดยผู้พยากรณ์

ผู้พยากรณ์ และผู้ใหญ่ที่เผยฯ มีความสามารถเป็นของประทาน ที่จะก่อให้เกิด (activate) ของประทานต่างๆ และพรสวรรค์ของธรรมิกชนและผู้รับใช้ โดยการวางมือและการเผยพระวจนะ

 

 
top
บทที่ 3 ธรรมชาติของการเผยพระวจนะ  
 

คำของพระเจ้า (prophetic message) โดยปกติได้มาโดยการออกเสียง (คือพูดออกมา) แต่อาจได้มาโดยการเขียน หรือ แสดงเป็นสัญญาณ (บอกใบ้) คำเผยพระวจนะอาจมาถึงบุคคลหนึ่งโดยพระเจ้าตรัสกับเขาโดยตรง หรือ พระเจ้าอาจจะให้บุคคลหนึ่งนำไปให้อีกคนหนึ่ง

โลโก และ รีม่า (Logos - Rhema) โลโก คือ พระวจนะแห่งความจริง รีม่า คือ ถ้อยคำหนึ่งจากพระวจนะ เป็นข้อพระคำหนึ่งที่พระวิญญาณทรงนำมาในห่วงความคิดของเรา ในเวลาที่เราต้องการใช้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจพระวจนะนั้นจากโลโก นำมาเป็นชีวิต ฤทธิ์เดช และความเชื่อ เพื่อให้สำเร็จตามนั้น โรม 10:17 "ความเชื่อเกิดจากการได้ยิน และได้ยินพระวจนะ(รีม่า)ของพระเจ้า"

คำเผยพระวจนะโลโก กับ คำเผยพระวจนะรีม่า โลโกจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือล้มเหลว แต่ในพระคัมภีร์ คำรีม่ามากมายที่ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นไม่สำเร็จตามนั้น ในกรณีนี้ ไม่ใช่เพราะรีม่าของพระเจ้าล้มเหลว แต่เป็นเพราะประชากรที่ได้ยินล้มเหลวที่จะเข้าใจ หรือ แปลความ หรือเชื่อ หรือเชื่อฟัง หรือตอบสนอง หรือรอคอย หรือปฏิบัติ ตามที่พระเจ้ามีพระประสงค์ หรือ ให้ทิศทาง นี่คือความหมายของ 1คร13:8 ว่า "คำเผยพระวจนะจะล้มเหลว"

สรุป โลโก เราหมายถึงข้อพระคัมภีร์ทั้งหมด เมื่อเราใช้คำว่า รีม่า เราหมายถึงข้อพระคำเฉพาะจากพระเจ้าที่ใช้ในเราแต่ละบุคคล โลโกเปรียบเหมือนบ่อน้ำ รีม่าเปรียบเหมือนน้ำถังหนึ่งจากบ่อ โลโกเปรียบเหมือนเครื่องเปียโนทั้งหมด รีม่าเปรียบเหมือนเสียงโน๊ตที่ออกมาจากเครื่องเปียโน คริสเตียนทุกคนต้องดำรงชีวิตอยู่โดยโลโก และรับรีม่าตามแต่จำเป็นตามแต่ต้องการ

พระคัมภีร์บันทึกคำเผยพระวจนะส่วนตัวจำนวนมาก ซึ่งให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ได้ใช้ได้ครอบคลุมจักรวาลไปหมด ตัวอย่างเช่น พระเจ้าเผยพระวจนะส่วนตัวให้โนอาห์ให้สร้างเรือ ไม่ได้เป็นคำเผยฯสำหรับบุคคลอื่น

 

 
  บทที่ 4 การหายโรคและการเผยพระวจนะส่วนตัว  
 

พระเจ้าปลดปล่อยและให้หายโรคอย่างเหนือธรรมชาติโดยหลายทาง

  • การอธิษฐานด้วยความเชื่อ โดยผู้ปกครองของคริสตจักร
  • โดยความเชื่อในพระเจ้าของแต่ละบุคคล
  • ของประทานต่างๆในการหายโรคต่างๆ โดยผ่านทางสมาชิกของคริสตจักร หรือผู้รับใช้
  • เชื่อคำเทศนาในพระวจนะแห่งความเชื่อ
  • ถ้อยคำจากพระเจ้าของผู้พยากรณ์ ซึ่งนำมาซึ่ง การปลดปล่อย การหายโรค และการอัศจรรย์

คำเผยพระวจนะไม่ได้ใช้เพื่อบอกว่า พระเจ้าสามารถรักษาโรคได้ หรือว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะรักษาโรค สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสำแดงแล้วโดยโลโก

เราต้องระมัดระวังอย่างมาก ในการที่จะเผยพระวจนะให้แก่คนป่วย ว่า เขากำลังจะหายดีหรือกำลังจะตาย หรือว่าคนเป็นง่อยกำลังจะเดินได้ จนกว่าเราจะได้รับพระวจนะรีม่า (พระวจนะที่มีชีวิต) จากพระเจ้า

ถ้อยคำที่ทึกทักเอาเอง (presumptuous words) มาจากความมีอคติมาก (หรือการคิดไว้ล่วงหน้า) คำเผยฯ สำหรับคนไข้มะเร็งบางครั้งบอกว่าเขาจะหาย แต่เขาก็ตาย ปัญหาหลักอันนี้ คือ ผู้เผยพระวจนะ เผยจากโลโก ไม่ได้มาจากรีม่า

พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนได้รับความรอด หรือ ทุกคนจะได้รับความรอด จะไม่มีคำเผยว่า "พระเจ้าตรัสว่า ท่านได้รับการชำระแล้วจากบาปทั้งสิ้น และได้รับการบังเกิดใหม่" แต่เราสามารถเทศนาว่า "ถ้าท่านจะเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า..........."

เราสามารถเทศนาว่า พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หาย แต่เราไม่สามารถเผยพระวจนะว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ท่านได้รับการรักษาให้หายจากโรคนี้ และท่านจะไม่ตาย แต่จะมีชีวิตอยู่" มีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างการพูดพระวจนะของพระเจ้า กับ การพูดพระวจนะจากพระเจ้า

"ความเชื่อเกิดจากการได้ยิน และได้ยินรีม่า (พระวจนะที่มีชีวิต)ของพระเจ้า" (รม 10:17) พระองค์แจ้งว่า ถ้อยคำที่พูดจากปากของเรา ต้องออกมาจากจิตใจของเราให้เป็นรีม่า เพื่อให้เกิดผล "พระวจนะ(รีม่า)ไม่ได้เป็นประโยชน์กับพวกเขา ไม่ได้ผสมด้วยความเชื่อในพวกเขาที่ได้ยิน" (ฮีบรู 4:2) ในฐานะผู้รับใช้ ข้าพเจ้าเทศนาโลโก แต่ในฐานะผู้พยากรณ์ ข้าพเจ้าเผยพระวจนะรีม่า

บ่อยครั้ง ที่บางคนพูดออกมาจากความเชื่อมั่นส่วนตัวในข้อพระคำแห่งความจริงของการหายโรค และนำเสนอออกมาเป็นรูปรีม่า หรือ คำเผยพระวจนะส่วนตัวว่า "พระเจ้าสำแดงให้ข้าพเจ้าว่า ท่านจะได้รับการหายโรค" หรือ "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้รักษาเจ้าแล้ว และเจ้าจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย" ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้รับการหายโรค แต่ตาย ดังนั้นแล้วถ้อยคำเหล่านั้นถือว่าเท็จ

ในบทท้ายๆเรื่อง "อุปสรรคในการรับคำเผยฯส่วนตัว" เป็นอุปสรรคที่จะเผยพระวจนะส่วนตัวที่แท้จริง (ถูกต้อง) ปัญหาหลักคือ

  • ความนึกคิดที่มีอยู่ก่อนแล้ว (mindset)
  • จิตถูกปิดกั้น (soul blockage) และ
  • หลักข้อเชื่อของนิกาย (doctrinal domination)

ซึ่งขัดขวางเราจากการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าขอแนะนำอย่างจริงจังหนักแน่นว่า ถ้าท่านมีอารมณ์ร่วมอยู่ด้วย (emotionally involved) หรือ มีความคิดเห็นส่วนตัวมาก เกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆ ท่านควรที่จะละเว้นจากการให้รีม่า หรือ คำเผยพระวจนะส่วนตัว ในเรื่องนั้นๆ ควรให้ถ้อยคำแทนว่า (พูดหนุนใจ) "ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างมากว่า ..... ข้าพเจ้าเชื่อว่า ..... ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านจะ........ พระคัมภีร์บอกว่า......" อย่าประกาศแจ้งในที่สาธารณะว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ..... พระเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า ..... พระเจ้าสำแดงกับข้าพเจ้าว่า ..... พระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงกับข้าพเจ้าว่า .... " ให้ละคำว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า" ไว้ให้แก่ผู้พยากรณ์ที่เติบโต และได้รับการพิสูจน์แล้ว เป็นการฉลาดกว่าที่จะพูดว่า "ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าจะ ...." แทนที่จะพูดว่า "พระเจ้าสำแดงให้ข้าพเจ้าว่าพระองค์จะ ....."

ผู้พยากรณ์จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรม และ อยู่ภายใต้การฝึกหัดจากผู้พยากรณ์ผู้ใหญ่ อย่างเช่น เอลียาห์ กับ เอลีชา ก่อนที่เขาจะให้คำเผยพระวจนะที่เฉพาะเจาะจงเป็นงานเป็นการ (such serious specific words)

คำเผยพระวจนะที่ทึกทักเอาเอง (presumptuous prophecy) เป็นตัวปัญหาอันหนึ่งในจำนวนปัญหาหลายๆปัญหา ที่ทำให้คริสตจักรจากคน 400 คน เหลือ 40 คน ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ข้าพเจ้าได้อธิษฐานให้คนจำนวนมากที่เป็นโรคมะเร็ง และ โรคหัวใจ จำนวนน้อยมากที่หายโรค เมื่อเขาร้องขอให้อธิษฐานเผื่อ และเราพียงแต่ตอบสนองตามคำสั่งในพระคัมภีร์ (โลโก) แต่เกือบทุกคนได้รับการหายโรค เมื่อความต้องการเกิดขึ้นโดยการสำแดงความรู้ (จากพระเจ้า) หรือ การอธิษฐานอย่างคำเผยฯ (prophetic praying)

อย่างไรก็ตาม เราจะฝึกฝนต่อไปด้วยความเชื่อทั้งหมด และการทรงเจิมสำหรับการหายโรค และการอัศจรรย์ต่างๆ จะยังเชื่อต่อไป เพื่อการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่า และให้ได้ผลเชิงบวกที่มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้น นี่จะทำให้เรารู้และพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก

 

 
top
บทที่ 5 ห้าช่องทางของการเผยพระวจนะ  
 

(1) ผู้พยากรณ์ (อฟ 2:20 , 4:11 , 1 คร 12:28 , กจ 13:1)

คริสตจักรท้องถิ่นที่ได้รับการก่อตั้งขึ้น โดยปราศจากงานรับใช้ของ อัครทูต หรือ ผู้พยากรณ์ จะไม่มีรากฐานที่แท้จริงสำหรับการเติบโตอย่างสูงสุด

(2) การเทศนาถ้อยคำที่พระเจ้าดลใจ (Prophetic preaching) (1 ปต 4:11)

ถ้อยคำที่พระเจ้าดลบันดาล (Oracle of God) (1 ปต 4:11)

(3) ถ้อยคำที่พระเจ้าดลใจจากผู้ใหญ่ (Prophetic presbytery) (1 ทธ 4:14 , ฮบ 6:1-2 , กจ 13:1-3)

การวางมือพร้อมการเผยพระวจนะ โดยคนของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับแล้ว (Qualification of presbyter)

ผู้รับใช้ทุกคน และผู้นำคริสตจักร สามารถที่จะฝึกหัดความเชื่อของเขา และพูดถ้อยคำเผยพระวจนะแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ ในขณะที่เขาทำการในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งในคณะผู้ใหญ่ผู้ปกครอง

ผู้พยากรณ์อาจสำแดงการทรงเรียกของบุคคลใดบุคลลหนึ่งให้มาเป็นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน 5 ตำแหน่งการรับใช้ และวางมือเหนือเขาเพื่อเจิมเขาสำหรับการนั้น แต่การแต่งตั้งถูกกระทำโดยผู้ใหญ่

(4) ของประทานในการเผยพระวจนะ

เปาโลบอกว่าท่านประกาศพระวจนะของพระเจ้าโดย 4 ทาง "ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านโดย การสำแดง(วิวรณ์) หรือโดยความรู้ หรือโดยการเผยพระวจนะ หรือโดยหลักคำสอน" (1 คร 14:6)

(5) พระวิญญาณของการเผยพระวจนะ และ เพลงที่ดลใจจากพระเจ้า (The spirit of prophecy and Prophetic song)

พระวิญญาณของการเผยพระวจนะ คือ คำพยานของพระเยซู (The spirit of prophecy is the testimony of Jesus) (วว 19:10) นี่ไม่ใช่ของประทาน หรือ ตำแหน่ง แต่เป็นการทรงเจิมเกิดขึ้นจากพระคริสต์ภายในผู้เชื่อ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในการทรงเจิมพิเศษในการปรนนิบัติรับใช้อันใดอันหนึ่ง หรือเมื่อคริสเตียนฝึกฝนความเชื่อของเขาที่จะพูดออกมาที่พระคริสต์สามารถเป็นพยานได้

บุคคลเหล่านั้นที่ไม่ได้เป็นผู้พยากรณ์ หรือ ไม่มีของประทานในการเผยพระวจนะ โดยปกติจะไม่เผยพระวจนะ แต่เมื่อพระวิญญาณของการเผยพระวจนะสถิตอยู่ (ดำรงอยู่) พวกเขาอาจจะเผยพระวจนะ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ภายใต้หนึ่งในสามาของเงื่อนไขต่อไปนี้

  • ฤทธานุภาพถ้อยคำของพระเจ้าสถิตอยู่ แผ่ซ่านในที่ประชุม ทำให้ง่ายในการที่จะเผยพระวจนะ ง่ายกว่าที่จะอยู่เงียบๆ
  • บุคคลที่ร่วมมากับท่ามกลางคณะผู้พยากรณ์ หรือภายใต้การถูกเจิมของผู้พยากรณ์
  • บุคคลที่ถูกเร่งเร้าโดยผู้รับใช้ เพื่อให้พระเจ้าลุกขึ้นและเป็นพยานโดยผ่านทางพวกเขา โดยพระวิญญาณของการเผยพระวจนะ

    กดว 11:24-60 , 1 ซมอ 10:10

 

 
top
บทที่ 6 การเผยพระวจนะส่วนตัว เกี่ยวกับ การรับใช้ ของประทาน และการทรงเรียก  
 

โดยปกติแล้ว มีผู้พยากรณ์ 3 คนในหนึ่งทีมงาน และมีอีก 1 หรือ 2 คน ที่ยืนร่วมอยู่ด้วยในทีม เพื่อฝึกหัดและก่อให้เกิด (Activation)

ข้าพเจ้ามักจะเตือนผู้เข้าร่วมสัมมนาบ่อยๆเสมอๆว่า เราจะไม่วางมือที่ว่างเปล่า บน ท่อที่ว่างเปล่าเพื่อผลที่ว่างเปล่า แต่ มือที่ได้รับการทรงเจิม บน ศีรษะที่ได้รับการเจิม เพื่อผลที่ได้รับการเจิม

"อย่าละเลยของประทานซึ่งมีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งมอบไว้ให้แก่ท่านโดยการเผยพระวจนะ ด้วยการวางมือของผู้ใหญ่ (1 ทธ 4:14) "กระตุ้นของประทานของพระเจ้าขึ้น ซึ่งอยู่ในท่าน โดยการวางมือของข้าพเจ้า" (2 ทธ 1:6) "ซึ่งข้าพเจ้าได้ถ่ายทอด (Impart) ของประทานบางอย่างฝ่ายพระวิญญาณแก่ท่าน และในที่สุดท่านจะได้รับการสถาปนา" (รม 1:11)

 

 
  บทที่ 7 ให้การเผยพระวจนะในมุมกว้างไกล  
 

ท่านอาจจะถามว่า "มันถูกต้องไหม ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม ที่คริสเตียนจะไปหาผู้พยากรณ์คนหนึ่ง และคาดหวังว่าจะได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า ถึงทิศทาง คำแนะนำ หรือการยืนยัน" คำตอบคือว่า ถูกต้อง

เราจะไม่ให้คำเผยพระวจนะส่วนตัวมาแทนที่ การแสวงหาพระเจ้าของเรา โดยการอธิษฐานของเรา การถืออด หรือการค้นหาข้อพระคำ

โดยปกติ ศิษยาภิบาลจะใช้พื้นฐานของพระคัมภีร์ และข้อพระคำที่จะนำให้กับบุคคล

ผู้พยากรณ์ผู้ใหญ่(เติบโตแล้ว) ซึ่งไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ สามารถนำความนึกคิดของพระคริสต์มาสู่เรื่องนั้นๆได้ โดยไม่ให้ความคิดเห็นส่วนตัวของเขาหรือทฤษฎีมามีอิทธิพลต่อคำตอบของเขา

หลายคนถามข้าพเจ้าว่า เมื่อไรที่ข้าพเจ้าเริ่มการเผยพระวจนะส่วนตัวในโบสถ์ ในตอนแรกข้าพเจ้ากลัวที่จะตอบสนองอย่างนั้น ขาดความเชื่อมั่น ว่าข้าพเจ้ามีสิทธิ์ที่จะคาดหมายพระเจ้าจะให้คำตอบกับข้าพเจ้าเพื่อพวกเขา และข้าพเจ้าพบว่า พระเจ้าไม่ให้คำตอบเฉพาะทุกคำถามใดๆเสมอไป ข้าพเจ้าพบว่า พระเจ้าจะไม่ตอบคำถามที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการค้นหาจากข้อพระคำ หรือคำถามที่ไม่สัตย์ซื่อ (Insincere requests) หรือคำถามที่โง่เขลา (Foolish questions)

ตัวอย่างเช่น บางคนถามว่า "ลูกชายของข้าพเจ้าตายในอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสองปีก่อน เขาอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ในนรก?" "บ้านของผมถูกไฟไหม้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นอุบัติเหตุหรือลอบวางเพลิง" มีคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ชอบถามว่าบุคคลใดที่พวกเขาควรจะแต่งงานด้วย

ถ้าคำตอบไม่เป็นที่ชอบใจ ผู้พยากรณ์น่าจะฉลาดที่จะไม่สำแดงให้พวกเขารู้ แม้ว่าจะรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี

เราไม่ได้ถูกออกแบบ(สร้างมา) ให้มีความสามารถที่จะรู้อนาคตมากนัก

ใช่ เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่บุคคลหนึ่งจะไปหาผู้พยากรณ์ ท่านจะยังไม่ไปหาผู้พยากรณ์ จนกว่าท่านจะแน่ใจว่าพระเจ้าอยู่ในชีวิตของท่าน ท่านจะต้องแสวงหาพระองค์ อธิษฐาน และค้นหาข้อพระคำ และฟังรีม่าจากพระเจ้าจนกระทั่งท่านเชื่อว่าท่านได้รับคำตอบ แล้วเมื่อท่านไปอยู่ต่อหน้าผู้พยากรณ์ ท่านจะได้รับการจัดเตรียมอย่างฝ่ายวิญญาณที่จะตอบสนองอย่างถูกต้อง

 

 
top
บทที่ 9 พระวจนะ น้ำพระทัย และวิถีทาง (Word Will and Way)  
 

การเผยพระวจนะส่วนตัวสามารถใช้เป็นเครื่องสำคัญที่จะช่วยคริสเตียนในการตัดสินใจ ในน้ำพระทัยที่ดียอดเยี่ยม(สมบูรณ์)ของพระเจ้า (The perfect will of God) โดยปกติแล้ว การตัดสินใจ 90 % ปราศจากคำเผยพระวจนะส่วนตัว แต่การตัดสินใจ 100 % อยู่บนรากฐานของพระวจนะ และน้ำพระทัย และวิถีทางของพระเจ้า

ถ้าเป็นไฟเขียว ให้ไปสัญญาไฟถัดไป ในน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าเป็นไฟเหลือง หมายความว่าให้รอคอยก่อน

พระวจนะ

"มี 3 สิ่งบันทึกไว้ในสวรรค์ พระบิดา พระวจนะ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ 3 สิ่งนี้เป็นหนึ่ง" (1 ยน 5:7) [ข้อพระคำนี้มีเฉพาะในฉบับคิงส์เจมส์ ผู้แปล]

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เคยบอกให้ท่านทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับพระลักษณะของพระเจ้า หรือขัดแย้งกับพระคัมภีร์บริสุทธิ์ ความคิดที่ขัดแย้งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคำตอบต่อคำอธิษฐานของท่าน อาจมาจาก จิตตนาการในจิต (Soulish imagination) ความเห็นแก่ตัวที่หลอกลวง (Selfish deception) หรือมาจากมาร ทำให้ความจริงถูกบิดเบือนไป (2 ปต 3:16) อย่างเช่น พวกพยานของพระเยโฮวาห์ (Jehovah's Witnesses) และพวกมอม้อน (Mormons)

น้ำพระทัยพระเจ้า(พระประสงค์)

พระประสงค์เฉพาะของพระคริสต์และข้อแนะนำให้แต่ละบุคคล และงานรับใช้ในพระกายไม่เหมือนกัน ดังนั้น พระคัมภีร์สามารถให้ทิศทางโดยทั่วไปของพระกายทั้งหมดเท่านั้น

กองทัพของพระเจ้าแห่งเป็นฝ่ายต่างๆ ฝ่ายเทศนา (Preaching div.) ฝ่ายอธิษฐาน (Praying div.) ฝ่ายจ่าย (Paying div.) (ผู้ค้ำจุน) ดังนั้น เราต้องการรู้พระประสงค์หลักของพระเจ้าสำหรับเรา

พระเจ้าใช้วิธีการต่างๆในการสำแดงส่วนตัวให้แต่ละบุคคลต่างๆกัน

  • พระองค์ทรงนำโยเซฟโดยความฝัน พระองค์ตรัสกับโมเสสด้วยเสียงที่ได้ยินได้ออกมาจากไฟ
  • พระองค์กระซิบกับเอลียาห์ด้วยเสียงนิ่งแผ่วเบา (A still small voice)
  • พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์กาเบลียลมาหามารีย์
  • พระองค์ปรากฏส่วนตัวแก่เปาโลในศักดิ์ศรีพระกายพระเยซู
  • พระองค์ตรัสกับดาวิดโดยผ่านคำเผยพระวจนะของซามูเอล และนาธัน
  • พระองค์ส่งถ้อยคำถึงเยฮูโดยทางผู้พยากรณ์เอลีชาและคนอื่น
  • พระองค์ทรงนำทีโมธีโดยทางการวางมือของผู้ใหญ่พร้อมด้วยการเผยพระวจนะ
  • และพระองค์ทรงนำพระเยซูโดยการสำแดงความรู้(วิวรณ์)

 

 
top
บทที่ 10 ความพยายามในธุรกิจ และความจำเริญมั่งคั่งทางการเงิน  
top

รีม่า (Rhemas) คำเผยพระวจนะส่วนตัว และของประทานต่างๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเกิดขึ้นได้ในความพยายามทางธุรกิจ และความจำเริญมั่งคั่งทางการเงินของคริสเตียน คำพยานจำนวนมากถูกบอกเล่าเกี่ยวกับความเข้าใจเหนือธรรมชาติ และการทรงนำในการตัดสินใจนำมาซึ่งผลกำไรทางธุรกิจให้แก่ผู้รับใช้และคริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจ

นิตยสาร วอยส์ (Voice) รายเดือนตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ของกลุ่มนักธุรกิจพระกิตติคุณสมบูรณ์สัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเวลาหลายปีที่ได้ตีพิมพ์คำพยานของบุคคลต่างๆ เกี่ยวกับความพยายามทางธุรกิจและความจำเริญมั่งคั่งทางการเงินของพวกเขาเหล่านั้น แต่เพราะว่าการขาดแคลนผู้พยากรณ์ที่กระตือรือร้นและเติบโตในคริสตจักรในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีคำพยานเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น ว่าผู้พยากรณ์ได้ให้คำเผยพระวจนะในเรื่องที่เกี่ยวข้องนี้ นักธุรกิจต้องการ การรับใช้ของผู้พยากรณ์ที่จะอวยพรธุรกิจของเขา บัดนี้ เราจะต้องการคำแนะนำเหนือธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพื่อจะทำให้ธุรกิจของคริสเตียนจำเริญขึ้น

กองทัพ 3 แผนก

กองทัพของพระเจ้ามี 3 แผนก คือ

  • แผนกเทศนาพระคำจากพระเจ้า (The prophetic-preaching division)
  • แผนกจ่าย-จัดเตรียม (The paying-providing division)
  • แผนกจัดการอธิษฐาน (The praying-procuring division)

บุคคลเหล่านั้นที่ปรนนิบัติด้วยการจัดเตรียมการเงิน ต้องการพวกผู้พยากรณ์อย่างยิ่ง และ การอธิษฐานเผื่อการสงครามจากแผนกอื่นๆ

บทรวบรวมพื้นฐานของถ้อยคำพระเจ้า

  1. ก่อนที่คำเผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จ สิ่งต่างๆจะแย่เสมอก่อนที่มันจะดีขึ้น
  2. ความล่าช้าไม่ใช่การปฏิเสธ แต่ถูกกำหนดให้นำการอุทิศของบุคคลมาสู่พระเจ้า และความมั่งคั่งของเขามาสู่จุดประสงค์ของพระเจ้า
  3. ความเจริญเติบโตและความมั่งคั่งมาจากพระเจ้า สำหรับประชากรของพระองค์
  4. จุดประสงค์ของขบวนการแผนการสำหรับการจัดเตรียม มีความหมายต่อพระเจ้า มากกว่าผลลัพธ์สุดท้าย เพราะความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของบุคคลมีความหมายต่อพระเจ้ามากกว่า ความจำเริญมั่งคั่งทางการเงิน
  5. พื้นฐานความสำเร็จในพระคัมภีร์ต้องอดทน และฝึกฝนอย่างมั่นคง เพื่อจะให้ก่อให้เกิดสิ่งที่ทรงสัญญาไว้
  6. "โรคซาอูล" ดื้อรั้น หลอกลวงตัวเอง คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว และตำหนิบ่ายเบี่ยง ต้องถูกบรรเทาลง และถวายแด่พระคริสต์ มิฉะนั้นมันจะก่อวินาศกรรมแก่บุคคล
  7. คำเผยพระวจนะที่ ตีความผิด และใช้ผิด จะออกนอกลู่นอกทางจากจุดประสงค์ของพระเจ้า และหยุดยั้งพระสัญญาที่จะสำเร็จตามนั้น
  8. "เหตุจูงใจอย่างบาลาอั่ม" ของความตะกละและอยากได้ อำนาจและชื่อเสียง จะขัดขวางพระพรต่างๆของพระเจ้า บนพระสัญญาของพระองค์ต่อบุคคลหนึ่งๆ หรือต่อโครงการ

ค้นหาผู้พยากรณ์

ผู้พยากรณ์สามารถเผยพระวจนะเฉพาะเจาะจง สำแดงถ้อยคำเกี่ยวกับปัญหาต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมทั้งทิศทางใหม่ๆ ความเคลื่อนไหวต่างๆ และเป้าหมายต่างๆ นักธุรกิจจำนวนมากค้นหาผู้พยากรณ์เพื่อการยืนยัน ก่อนที่จะตัดสินใจในเรื่องหลักๆ นี่เป็นการฝึกฝนอย่างพระคัมภีร์ กษัตริย์ส่วนใหญ่ของยูดาห์ ค้นหาถ้อยคำจากผู้พยากรณ์ เพื่อพิจารณาว่าเขาควรทำสิ่งต่างๆหรือไม่

ตัวอย่างในยุคปัจจุบัน

ตัวอย่างที่ดีอันหนึ่ง ที่ผู้พยากรณ์สามารถช่วยนักธุรกิจนี้อยู่ในหนังสือของ โนเวล เฮล์ (Norvel Hayes) หนังสือชื่อ ของประทานในการเผยพระวจนะ (The Gift of Prophecy) ต่อไปนี้เป็นคำเผยพระวจนะส่วนตัว โดย เค็นเน็ท เฮเก้น แก่ โนเวล เฮล์ และดูว่า โนเวล เฮล์ เขาตอบสนองอย่างไร

"ศัตรูกำลังจะโจมตีการเงินของเจ้า และหมอกดำจะมาเหนือการเงินของเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังคงทำพระราชกิจให้เรา และสัตย์ซื่อ และถ้าเจ้าจะอธิษฐาน และอธิษฐาน และอธิษฐาน และอธิษฐาน และอธิษฐาน เจ้าจะหลุดออกจากการถูกโจมตีนี้ เราจะนำเจ้าออกจากการจู่โจมของศัตรู และเจ้าจะประสบความสำเร็จทางการเงิน มากยิ่งกว่าที่เจ้าเคยมี"

ข้าพเจ้า (โนเวล เฮส์) พูดว่า โจมตีการเงินของผมหรือ ผมไม่มีปัญหาเรื่องการเงินเลย ผมเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่ง รวมทั้งภัตตาคารอีก 6 แห่ง ผมทำเงินได้ 4000 ถึง 6000 ดอลล่าห์ต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่มีแผนกจัดจำหน่ายออกไป

ประมาณ 6 เดือนต่อมา แล้วฟ้าก็ล่นลงมาใส่ผม หมอกดำได้ลงมาเหนือผม ในทันใดนั้น ผู้จัดการภัตตาคารของผม 3 คน ก็ไม่น่าไว้วางใจ และภัตตาคารต่างๆก็ไม่สามารถทำเงินได้อีกเลยโดยสิ้นเชิง

เลขานุการของเขา (โนเวล เฮส์) ที่ทำงานกับเขามานาน ก็ขโมยเงินไปหลายพันดอลล่าห์ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี จากความมั่งคั่งอย่างมาก มาเป็นการต่อสู้เพื่ออยู่รอด เฮส์ จำถ้อยคำของผู้พยากรณ์เฮเก้นได้ เขาอธิษฐานต่อไป และอธิษฐานต่อไป และอธิษฐานต่อไป เขาต่อต้านการทดลองที่จะอธิษฐานด้วย การสงสารตัวเอง หรือ ไม่เชื่อ หรือ ถามพระเจ้าว่า "ทำไมต้องเป็นข้าพระองค์ด้วย"

ในขณะที่เขาไปเยี่ยมเพื่อนผู้รับใช้ครอบครัวหนึ่ง ชื่อ กู๊ดวิน (Goodwins) คุณกู๊ดวิน (ผู้ภรรยา) ได้พูดข้อความเป็นภาษาแปลกๆให้กับเขา และ คุณกู๊ดวิน (ผู้สามี) ได้แปลภาษาแปลกๆนั้น

ข้อความนั้นคือ "ถ้าเจ้าจะไปที่เมืองเทาซ่า (Tulsa) รัฐโอกาโฮม่า (Oklahoma) ให้กับเรา เราจะสำแดงเจ้า 2 สิ่ง เมื่อเจ้าถึงที่นั่น" โนเวล เฮส์ บอกว่า เขารู้จักบุคคลแค่ 3 คน ในเมืองเทาซ่า ในเวลานั้น คือชื่อ โรเบิร์ด ฟอร์ด และ เฮเก้น เขาจึงไปบ้านของอาจารย์ เค็นเน็ท เฮเก้น ที่นั่นเขาได้อธิษฐานให้แก่ภรรยาของอาจารย์เฮเก้น

ระหว่างทางที่กลับไปขึ้นเครื่องบิน อาจารย์เฮเก้นพูดกับ โนเวล เฮส์ ว่า "โนเวล พระเจ้าสำแดงให้ผู้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งคุณมาที่นี่ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก เพื่อคุณจะอธิษฐานให้แก่ภรรยาของผม และนำพระพรมาให้เธอ และ ประการที่สอง พระองค์ตรัสบอกให้ผมเผยพระวจนะให้คุณ"

นี่คือคำเผยพระวจนะที่อาจารย์ เฮเก้น ให้กับ โนเวล เฮส์ "เจ้าได้ผ่านการทดสอบความเชื่อของเรา และเพราะว่าเจ้า ลูกเอ๋ย เจ้าได้เชื่อฟังเรา และเพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังเรา แสงสว่างของเราจะส่องลงมาจากสวรรค์ มันจะเจาะผ่านหมอกดำทั้งสิ้น และส่องเหนือเจ้า มันจะส่องเหนือการเงินของเจ้า และมันจะมา และมา และมา ในความอุดมแก่เจ้า"

พระเจ้าได้เริ่มนำสัญญาที่ทรงจัดเตรียม และความโปรดปราน เข้ามา จนกระทั่งวันหนึ่ง บัญชีการเงินของเขา จาก 85 เหรียญ เป็นมากกว่า 100,000 เหรียญ เขาสรุปเรื่องนี้อย่างไร ให้เราฟังข้อความของเขาดีกว่า

ให้ข้าพเจ้าบอกเรื่องนี้ต่อท่าน คำเผยพระวจนะ เดือดขึ้นมาต่อท่านอย่างเหนือธรรมชาติ จะบอกว่าท่านจะไปที่ไหน และทำอะไร ในขณะที่ท่านไม่รู้จะไปไหนและทำอะไร ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าต้องไปเยี่ยมกู๊ดวิน จนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่องบิน 15 นาที พระเจ้าตรัสบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า พระเจ้าต้องการให้กู๊ดวิน เผยพระวจนะให้ข้าพเจ้าไปที่เมืองเทาซ่า ถ้าข้าพเจ้าไม่เชื่อฟังพระวจนะและไม่ไปเมืองเทาซ่า ข้าพเจ้าคงไม่ได้นำพระพรไปถึงภรรยาของเฮเก้น และข้าพเจ้าก็คงไม่ได้รับคำเผยพระวจนะจากอาจารย์เฮเก้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสิ้นสุดการทดลองและสงครามในอาณาจักรการเงินเป็นเวลา 3 ปี เมื่อคำเผยพระวจนะมาถึงท่านจากพระเจ้า โดยผ่านทางบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่รู้จักพระเจ้า และท่านนับถือพวกเขาเหล่านั้น คำเผยพระวจนะสามารถนำพระพรที่ยิ่งใหญ่มาสู่ท่านได้ ไม่เพียงเฉพาะท่าน แต่สำหรับคนอื่นๆด้วย

สังเกต มีกุญแจในพื้นฐานของคำเผยพระวจนะตรงนี้ สำหรับความเชื่อที่จะเชื่อฟัง เมื่อพระเจ้าบอกให้ใครบางคนทำอะไรบางอย่าง พระองค์ไม่ค่อยบอกว่า ทำไม ใคร หรือ เมื่อไร รายละเอียดเหล่านี้จะตามมาภายหลัง หลักจากที่เชื่อฟังคำสั่งแรกแล้ว พระองค์ตรัสกับเฮส์ว่า "ไปที่เทาซ่า และเราจะสำแดงสองสิ่งเมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น" เหมือนกับคำที่พระองค์ตรัสกับอับราฮัมว่า "ออกนอกประเทศนี้และไปแผ่นดินที่เราจะสำแดงให้เจ้าดู" และเฮส์เหมือนอับราฮัม "โดยความเชื่อ.... ออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน"

นักเทศน์หรือนักธุรกิจ ผู้ซึ่งยืนยันจะรู้รายละเอียดให้มากก่อนที่เขาจะกระทำในความเชื่อ จะไม่สามารถประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ตามถ้อยคำแห่งพระสัญญาต่างๆได้ ถ้าเราสามารถเข้าใจถ้อยคำโดยตรรกของมนุษย์ และสามารถชี้ออกไปในรายละเอียดได้ว่า มันสามารถทำงานทั้งหมดได้อย่างไร ถ้อยคำนั้นอาจจะไม่ใช่มาจากพระเจ้า แต่อาจเป็นหลักการทางธรรมชาติเหตุผลของมนุษย์และประสาทสัมผัสทั้งห้า มักจะเป็นอุปสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะให้คำเผยพระวจนะส่วนตัวสำเร็จตามนั้น

ผู้ที่ไม่สามารถประพฤติบนฐานของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ควรไปหาผู้พยากรณ์ เพื่อขอถ้อยคำจากพระเจ้า ถ้าพวกเขาจะทำตามวิธีของพวกเขา และตามมาตรฐานของโลกเพื่อความสำเร็จของพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่เสียเวลาของพวกเขา และเสียเวลาของผู้พยากรณ์ ที่จะหาคำเผยพระวจนะเพื่อธุรกิจและการเงินของพวกเขา วิธีของพระเจ้า กับวิธีของมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง นั้นแตกต่างกันมาก เมื่อเราพยายามผสมผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน มันจะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดสับสน (1 คร 2:14 , อสย 55:8-9)

นี่เป็นสถานการณ์ของคริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจส่วนมาก ซึ่งมอบถวายธุรกิจของเขาแด่พระเจ้า แต่ยังคงทำการตามมาตรฐานของโลก ถ้าบุคคลผู้หนึ่งถวายธุรกิจของเขาแด่พระเจ้า และทูลขอพระเจ้าอวยพระพร แต่ไม่ทำธุรกิจตามการทรงนำของพระเจ้า ดังนี้นแล้วเขาได้นำตัวเขาเองเข้าไปในกระแสที่ตัดกันของความพินาศและหมดตัว เราต้องตัดสินใจและเดินไปในทางใดทางหนึ่งทั้งหมดเพื่อความสำเร็จ

มนุษย์ที่เป็นของโลกรู้ว่าจะประสบความสำเร็จทางการเงินอย่างไร และพระเจ้าก็รู้เช่นกัน หลักการพื้นฐานและขั้นตอนต่างๆนั้นคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันมากเพียงพอที่จะใช้แทนกันไม่ได้ วิธีการทั้งสองไม่สามารถใช้ในธุรกิจเดียวกันและทำให้ประสบความสำเร็จ น้ำมันเบนซินกับน้ำมันดีเซลที่ใส่เข้าไปในถังเดียวกัน ไม่สามารถทำให้รถวิ่งอย่างมีประสิทธิภาพได้ ผู้ที่ถวายธุรกิจและพิจารณาจะทำการบนพระวจนะของพระเจ้า และปรารถนาที่จะกระทำในความเชื่อ จะได้รับผลกำไรที่ยิ่งใหญ่จากการรับใช้ของผู้พยากรณ์และคำเผยพระวจนะส่วนตัว

ทำไมนักธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ

ผู้ที่มีสิ่งกระตุ้นที่ผิด และพื้นฐานที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถสำเร็จตามคำเผยพระวจนะส่วนตัวที่เขาได้รับ แม้ว่าจะพูดโดยผู้พยากรณ์ที่เติบโตแล้วและเป็นผู้พยากรณ์ชั้นนำ ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดินแห่งจิตของพวกเขาตื้นและแข็ง และดินที่ลึกลงไปแห่งจิตของพวกเขาเต็มไปด้วยเมล็ดของวัชพืชของการฝึกฝนที่ไม่ถูกต้อง ประชากรประเภทนี้ไม่สามารถสร้างผลิตผลได้ และไม่เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร จนกว่าพวกเขายอมให้พระเจ้าแยกพื้นที่ตื้นและดึงวัชพืชแห่งความไม่เหมือนพระคริสต์นั้นออกจากชีวิตของพวกเขา

โดยสรุป เราควรจะสัมมนาเรื่องสติปัญญาและความสมดุลย์ในธุรกิจและคำเผยพระวจนะส่วนตัว เราไม่สามารถดำเนินธุรกิจบนคำเผยพระวจนะส่วนตัวที่ได้จากคนอื่นๆ แต่เราต้องการถ้อยคำจากพระเจ้าเป็นบางครั้งคราวเพื่อทำให้ธุรกิจของพระเจ้าสำเร็จ จากประสบการณ์หลายปีในแนวนี้ ข้าพเจ้าพบว่า ถ้าเราถูกเรียกโดยพระเจ้าให้เป็นนักธุรกิจ พระเจ้าจะประทานความสามารถ สติปัญญา และความรอบรู้ ที่จำเป็นที่จะทำงานได้

แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ ในฐานะประธานของโรงเรียนการรับใช้แห่งหนึ่ง น้อยครั้งมากที่ข้าพเจ้าตัดสินใจบนคำเผยพระวจนะส่วนตัวจากคนอื่น ข้าพเจ้าตัดสินใจหลักๆบน 3 คำของพระเจ้า คือ พระวจนะ พระประสงค์ และพระมรรคา(วิถีทาง) บางครั้งคำเผยพระวจนะส่วนตัวเป็นเครื่องมือในการพิจารณาพระประสงค์ของพระเจ้า และค้นพบวิถีทางของพระเจ้า แต่เราต้องไม่ขึ้นอยู่บนคำเผยพระวจนะของคนอื่น เพื่อจะให้งานสำเร็จในชีวิต

ถ้าพระเจ้าได้ทรงเรียกคนผู้หนึ่งมาเป็นศิษยาภิบาล พระเจ้าจะทรงประทานความสามารถที่เขาจะเตรียมข้อความ คำเทศนา ถ้าศิษยาภิบาลต้องไปหาผู้พยากรณ์ทุกสัปดาห์ เพื่อบอกว่าเขาควรจะเทศนาอะไรในวันอาทิตย์นี้ นั่นจะเป็นการขึ้นอยู่กับผู้พยากรณ์มากเกินไป หรือเขาอาจจะไม่ได้ถูกเรียกให้มาทำหน้าที่เทศนา ถ้านักธุรกิจต้องไปหาผู้พยากรณ์เพื่อได้ถ้อยคำจากพระเจ้าก่อนที่เขาจะบริหารการตัดสินใจประจำวัน ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งนั้น

 

 
top
บทที่ 11 ถ้อยคำที่พระเจ้าใช้ (Prophetic Terminology)  
top

มันจะแสดงว่า พระเจ้าทรงพูดว่าอะไร อย่างไร พระองค์จะทรงพูดด้วยภาษาที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน

ถ้อยคำที่เกี่ยวกับเวลา

ดูเหมือนกับว่า พระองค์จะไม่รีบร้อน แต่พระองค์มาทันเวลาเสมอ ดูเหมือนว่าพระองค์ใช้เวลานานกว่าที่เราคาดคิดไว้

ความล้มเหลวครั้งใหญ่ในภาพเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ เป็นผลสืบเนื่องจากความไม่อดทนในพระเจ้า เมื่อพวกเขารอคอยที่จะให้คำเผยพระวจนะสำเร็จตามนั้น ตัวอย่างเช่น อับราฮัม เขาออกนอกเวลาของพระเจ้า และพยายามช่วยพระเจ้าให้สำเร็จตามนั้น ผลคืออิสมาเอล (ปฐม 16) เมื่อเรากระโดดล่ำหน้าตารางเวลาของพระเจ้า เพื่อให้ถ้อยคำสำเร็จตามนั้น เราทำบางสิ่งโดยเนื้อหนัง

ซาอูลเป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง เขาคิดว่าพระเจ้าล้มเหลวที่จะมาให้ทันเวลา อย่างที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับซามูเอล ดังนั้นซาอูลจึงผลักดันตัวเองให้ไม่เชื่อฟัง และถวายเครื่องบูชาแทนที่จะรอคอยซามูเอลมาก่อน

ปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าสายไปเสียแล้ว การหย่าร้างกำลังอยู่ในชั้นศาล ธุรกิจกำลังจะล้มละลาย โอกาสในงานรับใช้กำลังหลุดลอยไป แพทย์บอกว่าหมดหวัง พายุกำลังมุ่งตรงมาที่บ้านของคุณ แต่ถ้าพระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำสัญญาที่ชัดเจนกับท่าน พระองค์จะมาตรงเวลา เวลาของพระองค์ พระองค์จะอยู่ที่นั่นกู้สถานการณ์ หรือ พระองค์จะทำให้ฟื้นมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

พระเจ้ามีเวลา และเหตุผลที่ให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น ตารางของพระองค์ไม่มีเหตุผลเสมอไป เหมือนกับเหตุผลของมนุษย์ จิตใจของเราอาจถามว่า "ทำไม" ตารางเวลาของพระองค์มีความจำเป็นสำหรับความเต็มบริบูรณ์ การเติบโต และนำทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาตามขั้นตอนที่ถูกต้อง

  • Fullness of time (กท 4:4 , อฟ 1:10)
  • Due time (1 ทธ 2:6 , รม 5:6)
  • Season , a time , in His time (ปญจ 3:1 , 11 , 17 , สดด 105:19)
  • Times or seasons (กจ 1:7-8)
  • Reap in due season (กท 6:9)

ถ้อยคำจำเพาะของพระเจ้า (God's prophetic terminology concerning certain words)

ทันทีทันใด (Suddenly , Immediately) กจ 2:2 (Suddenly)

บัดนี้ หรือ วันนี้ (Now or this day)

เมื่อเราได้ยินคำว่า "บัดนี้(เวลานี้)" หรือ "วันนี้" เรามักคิดว่าหมายถึง "ทันทีทันใด" หรือ "ภายใน 24 ชั่วโมง" คำเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสมอไป

ซามูเอลผู้พยากรณ์ได้บอกกับกษัตริย์ซาอูลว่า "บัดนี้(เวลานี้)(now)" ราชอาณาจักรของซาอูลจะไม่ดำรงอยู่ต่อไป ถ้าเราได้ยินคำเผยพระวจนะนี้ เราอาจคาดหมายว่ามันจะสำเร็จตามนั้นในทันทีทันใด แต่ตามตารางเวลาในคำเผยฯนี้ "บัดนี้" คือ 38 ปีให้หลัง (1 ซมอ 13:1-14)

"ในวันนี้ (this day) พระเจ้าได้ทรงฉีกราชอาณาจักรอิสราเอลเสียจากท่าน และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน (1 ซมอ 15:28) เป็นเวลา 24 ปีหลักจากนั้นราชอาณาจักรจึงเปลี่ยนมาสู่ดาวิด

เราต้องไม่วินิจฉัยคำเผยพระวจนะว่าเท็จ เพียงเพราะมันไม่สำเร็จตามเวลาที่ตนเองได้คาดการณ์ไว้

ถ้าคำเผยพระวจนะพูดถึงเวลาและวันที่แน่นอน เช่น "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะได้รับเช็คจำนวน 1,000,000 เวลาเที่ยงของวันที่ 13 เดือนตุลาคม 1994" ถ้าเช่นนี้เราจึงสามารถระบุว่าคำเผยเท็จ ถ้ามันไม่สำเร็จตามนั้นในเวลาที่กำหนด แต่ถ้าใช้คำว่า "ในเวลาอันใกล้นี้" "วันนี้" "บัดนี้" หรือ "ในอนาคตอันใกล้นี้" เราจึงจะสามารถกำหนดเวลาใดๆในคำเผยพระวจนะได้

บางครั้งเป็นการยากที่เราจะพิจารณาว่า คำเผยพระวจนะนั้นเป็นคำ อดีตกาล หรือ ปัจจุบันกาล หรือ เป็นคำอนาคตกาล

จากพื้นฐานของตัวอย่างในพระคัมภีร์ และจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง (Dr. Hamon) ตารางเวลาสำหรับถ้อยคำของพระเจ้านี้ อาจจะเป็นประโยชน์แก่ท่านบ้าง แต่ไม่เจาะจงแน่นอนเสมอไป

  • ทันทีทันใด (Immediately) หมายถึง 1 วัน ถึง 3 ปี
  • ในเร็วๆนี้ (Very soon) หมายถึง 1-10 ปี
  • บัดนี้ หรือ วันเวลานี้ (Now or this day) หมายถึง 1-40 ปี
  • เราจะ (I will) โดยปราศจากเวลากำหนดที่แน่นอน หมายถึง พระเจ้าจะกระทำในเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิตของคนนั้น ถ้าเขาเชื่อฟัง
  • ในไม่ช้า (Soon) เป็นคำที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ ว่า พระองค์จะกลับมาในไม่ช้า เกือบ 2000 ปีแล้ว

ถ้อยคำพระเจ้ามีนัยถึงขั้นตอน

อดทน (Patience)

เมื่อคำเผยพระวจนะสัญญาว่า เราจะต้องมีความอดทนมาก เราต้องระลึกถึง โรม 5:3 ว่า "ความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทน" ปัญหาต่างๆ , ความกดดันต่างๆ , การทดลองต่าง , และความล่าช้า ทำให้เราให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทำงานโดยผ่านเวลาของ จิตใจที่ฟกช้ำ , ความนึกคิดที่กระเจิดกระเจิง , วิกฤตการณ์ของโลก ให้ประสบการณ์แห่งชัยชนะแก่เรา ซึ่งเพิ่มพูนความหวังของเรา

สติปัญญา(Wisdom)

เมื่อพระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะทรงประทานสติปัญญาแก่เรา นั่นหมายความว่า พระองค์จะอนุญาติให้ปัญญาต่างๆและสถานการณ์ต่างๆเกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในวิสัยความสามารถของท่านที่จะแก้ได้ สิ่งเหล่านั้นจะบังคับให้เราเอาสติปัญญาของพระเจ้าออกมา ให้โอกาสแก่พระองค์ที่จะสำเร็จตามพระสัญญาของพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาของพระเจ้า เว้นไว้แต่ว่า สติปัญญาของมนุษย์จากทุกแหล่งพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอในการแก้ปัญหา

ความรัก

เมื่อเราได้รับถ้อยคำบอกเราว่า เราต้องสำแดงความรักของพระเจ้า นั่นหมายความว่า เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ไม่มีความรัก

ความเชื่อ

เราสามารถมีความเชื่อได้ 3 ประเภทคือ ความเชื่อแห่งความรอด , ของประทานมีความเชื่อ และ ผลของพระวิญญาณแห่งความเชื่อ เมื่อเราได้รับคำเผยพระวจนะว่าเราจะมีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ เราควรจะระลึกว่า ผลของความเชื่อมีชีวิตบนริมขอบของความหายนะในความต้องการการอัศจรรย์ ถ้าเราไม่เคยถูกพระเจ้าจับใส่สถานการณ์อันหนึ่ง ซึ่งเราไม่สามารถได้ในสิ่งที่เราปรารถนาโดยความต้องการของเราเอง เราจะไม่เติบโตขึ้นในผลของความเชื่อ

สร้าง ขยาย เพิ่มพูน

บางครั้งพระเจ้าตรัสว่า "เราจะสร้าง เพิ่มพูน ขยาย" แต่เป็นการสร้างเพิ่มขึ้น เป็นการวางรากฐานที่ลึกมากขึ้นสำหรับสิ่งที่สร้างให้ยิ่งใหญ่ขึ้น (a greater building) และนั่นหมายความว่า เราต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างเก่าลง ขุดของเก่าออก รากฐานที่จำกัด และวางอันใหม่ การรับใช้ 10 ชั้น แทนการรับใช้ ชั้นเดียว

การเก็บเกี่ยวใหญ่

ถ้อยคำที่บอกเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวฝ่ายจิตวิญญาณ ต้องการการอุทิศถวาย , ความบากบั่นขยันหมั่นเพียร , ความร่วมมือ และการตอบสนอง ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำนั้นคือความตาย

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

เราไม่สามารถมีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยปราศจากการสงครามที่ยิ่งใหญ่ สงครามเล็กๆให้ชัยชนะเพียงเล็กๆ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เราที่เราได้รับทำนองว่า "ชัยชนะ" "มีชัย" หรือ "ยิ่งหว่าผู้พิชิต" เราคาดหมายถึงการต่อสู้ได้

การคืนสู่สภาพเดิม (Restoration)

คำว่า "คืนสู่สภาพเดิม" มีสองความหมาย เมื่อพระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะคืนสภาพบางสิ่งบางอย่างที่แน่นอนให้กับเรา นั่นหมายความว่า เราจะได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราได้สูญเสียไปหรือหายไป แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะคืนสภาพเรา พระองค์กำลังพูดถึงขั้นตอนหลายอย่าง

การสำแดงใหม่ นิมิต นำมาซึ่งการรับใช้

นี่เป็นถ้อยคำประเภทที่ทูตสวรรค์กาเบลียลใช้ เมื่อท่านให้คำเผยพระวจนะส่วนตัวกับมารีย์ ถึงการกำเนิดงานรับใช้(พระคริสต์)ที่จะอวยพรทั้งโลก

ก่อนที่จะเป็นขบวนการกำเนิด เราต้องมีความสัมพันธ์ (Relationship) กับพระเจ้า ที่จะให้โอกาสกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะหว่านเมล็ดของความเชื่อและหว่านนิมิต นิมิตก็จะเติบโตขึ้นเหมือนกับทารกในครรภ์ของวิญญาณของเรา ความอดทน การปรับแต่ง และความยืดหยุ่นในพระเจ้า เป็นสิ่งที่ต้องการในขบวนการที่ยาวไกลที่จะปลดปล่อย

เหมือนการคาดหมายของแม่ที่ตั้งครรภ์ จิตของเราถูกยืดออก จนกระทั่งเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถยืดออกมากกว่านี้อีกต่อไป เราจะงุ้นง้านอุ้ยอ้ายในการเดินฝ่ายวิญญาณของเรา รู้สึกผิดรูปผิดแบบ เหมือนกับหญิงมีครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เหมือนกับเธอ เราพบว่าสิ่งต่างๆเลวร้ายลงก่อนที่มันจะดีขึ้น การลงแรงที่เจ็บปวดนำมาซึ่งการปลดปล่อย

การรับใช้ทั่วโลก การรับใช้ที่จดจำได้ การรับใช้ที่ประสบความสำเร็จ การรับใช้ที่เป็นเศรษฐี

ผู้คนส่วนมากที่มีโอกาสที่จะจำเริญมั่งคั่งยิ่งใหญ่ และมีเกียรติอำนาจ ล้มเหลวไม่เกิดขึ้น แม้แต่คริสเตียนที่ประกอบเต็มไปด้วยพระวิญญาณ ผู้ซึ่งได้รับคำเผยพระวจนะจำนวนมากเกี่ยวกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา และน้ำพระทัยพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา ไม่เคยพบว่าคำเผยพระวจนะเหล่านั้นสำเร็จตามนั้น ทำไม เพราะว่าพวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะจ่ายค่างวด (They are not willing to pay the price) ที่จะผ่านตามขบวนการของพระเจ้าที่จำเป็นต้องมี เพื่อที่จะบรรลุพระสัญญา

ยิ่งการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น พระเจ้าก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการสร้างบุคคลมากขึ้น ถ้อยคำพระสัญญที่ยิ่งใหญ่ในการที่มีฤทธิ์เดชมากขึ้น ขบวนการของการจัดเตรียมก็ยิ่งนานขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับ ดาวิด โยเซฟ อับราฮัม และโมเสส

บุคคลเหล่านั้นที่ "ประสบความสำเร็จ" แบบทันทีทันใด โดยปราศจากการผ่านขบวนการที่แท้จริง โดยปกติแล้วจะไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ส่วนตัวของพวกเขาไว้ได้ หรือไม่สามารถเติบโตขึ้นมาได้ ไม่สามารถมีการรับใช้ที่เป็นไปได้อย่างสูงสุด พวกเขาอาจรักษาตำแหน่งยืนของเขาไว้ได้ แต่พวกเขาจะสูญเสียการอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า รวมทั้งลำดับความสำคัญของพวกเขา และการถวายต่อพระประสงค์ของพระเจ้า กษัตริย์ซาอูลและซาโลมอน คือ สองตัวอย่างที่ดีสำหรับโศกนาฏกรรมนี้

นั่นทำให้เปาโลพูดว่า "ข้าพเจ้าพอใจในความเจ็บปวด เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า" (2 คร 12:9) (I glory in my infirmities)

ถ้าเราไม่มีความปรารถนาที่จะผ่านขบวนการที่จำเป็น เราไม่ควรที่จะเชื่อ หรืออธิษฐานเพื่อให้สำเร็จตามคำเผยพระวจนะส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่อง ฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ , ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ หรือความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราไม่มีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าหล่อหลอมหรือสร้างเราสำหรับ การรับใช้ที่กล้าแข็ง เราก็ไม่ควรที่จะคาดหมายถึงการรับใช้ที่กล้าแข็ง เป็นการดีที่จะอยู่อย่างเล็กๆ และรักษาการรับใช้ปัจจุบันไว้ ดีกว่าจะเป็นอย่างกษัตริย์ซาอูล และก็สูญเสียมันทั้งหมด

เราจะ(พระเจ้าจะ) , เจ้าจะ , เราจะ(พระเจ้ากับเราจะ)

เมื่อพระเจ้าตรัสว่า "เราจะ" เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์วางแผนว่าจะทำ พระองค์ไม่ได้หมายความว่า พระองค์จะทรงกระทำด้วยพระองค์เองเพียงลำพัง โดยไม่มีเรามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือร่วมด้วย เมื่อพระองค์ตรัสว่า "เราจะ" พระองค์หมายถึง "เราจะ(พระเจ้ากับเราจะ) "เราจะกระทำมันในเจ้าและโดยผ่านเจ้า เราจะให้เจ้าสามารถทำได้"

อพย 6:6-8 เหตุฉะนี้ จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า 'เราคือพระเยโฮวาห์ เราจะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจากงานตรากตรำ ที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ และจะให้พ้นจากการเป็นทาสเขา เราจะช่วยกู้เจ้าด้วยแขนที่เงื้อง่า และด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง ๗. เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าไปให้พ้นจากงานตรากตรำที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ ๘. เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่า จะให้แก่อับราฮัม แก่อัสอัค และแก่ยาโคบ เราจะยกแผ่นดินนั้นให้แก่เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เราคือพระเจ้า' ฟังดูแล้วเหมือนกับว่า ไม่มีเงื่อนไข คำเผยพระวจนะที่บริบูรณ์ซึ่งไม่ขึ้นกับสิ่งต่างๆของมนุษย์โดยสิ้นเชิง

อย่างที่เราทราบจากหนังสืออพยพแล้ว่า คำว่า "เราจะ" ของพระเจ้าหมายความว่า พระองค์จะทรงร่วมงานด้วยกับความพยายามของพวกเขาเองด้วย "เราจะทำการอย่างเหนือธรรมชาติในเรื่องที่เจ้าไม่สามารถทำการในทางธรรมชาติได้ เราจะยุ่งในส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องและเราจะดูแลสถานการณ์อื่นๆให้ เราจะเป็นภาระเอง สิ่งที่มองไม่เห็น ฤทธานุภาพจะทำให้เจ้ากระทำให้ได้ชัยชนะ เราจะสำแดงการอัศจรรย์ให้แก่เจ้า สติปัญญา ที่จะเดินในทางต่างๆของเรา และกระทำพระประสงค์ของเรา และอดทนต่อชัยชนะ จนกว่าเจ้าจะได้สำเร็จตามถ้อยคำแห่งพระสัญญา"

ในทางกลับกัน เมื่อพระเจ้าตรัสว่า "เจ้าจะ" พระองค์ก็หมายความว่า "เรา(ทั้งสอง)จะ" เอาเรื่องกิเดโอนเป็นตัวอย่าง เมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้าให้คำเผยพระวจนะส่วนตัวกับเขา "เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย พระเจ้าทรงสถิตกับเจ้า ...... จงไปช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้ให้ไปแล้ว มิใช่หรือ" (วนฉ 6:12-14)

ไม่ว่าถ้อยคำว่า "เราจะ" หรือ "เจ้าจะ" พระเจ้าหมายถึง "เรากับพระเจ้าจะ" เราจะกระทำการบนแผ่นดินโลก และพระองค์จะเป็นกำลังที่มองไม่เห็นทำการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์

 

 
top
บทที่ 13 ลักษณะของคำเผยพระวจนะส่วนตัว (The Nature of Personal Prophecy)  
top

คำเผยพระวจนะส่วนตัวจะเป็น บางส่วน , คืบหน้า , และมีเงื่อนไขเสมอ (Partial , Progressive and Conditional)

เราเผยพระวจนะเป็นบางส่วน (We prophesy in part)

"เพราะว่าเรารู้ในบางส่วน และเราเผยพระวจนะในบางส่วน" (1 คร 13:9) (For we know in part , and we prophesy in part) อ่าน ฉธบ 29:29

"พระเจ้าได้ทรงซ่อนเรื่องนี้จากข้าพเจ้า" (2 พกษ 4:27)

ตัวอย่างที่ดีของคำเผยพระวจนะที่ไม่สมบูรณ์คือพระสัญญาเรื่องพระมาซีฮา ผู้พยากรณ์แต่ละคนให้ภาพชิ้นเล็กๆถึงการทรงเสด็จมาของพระเยซู คือ ทรงสัญญาดาวิดถึงมรดกนิรันดร์สำหรับบัลลังก์ของดาวิด อิสยาห์ได้พูดถึงผู้รับใช้ที่รับความทุกข์ ดาเนียลเห็นการมาถึงแห่งชัยชนะของบุตรของมนุษย์ ไม่มีใครเผยพระวจนะพูดถึงเรื่องทั้งหมด

ถ้อยคำถ้อยคำหนึ่งจากพระเจ้า จะครอบคลุมส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเรา บางครั้งพระเจ้าพูดถึงเรื่องการรับใช้ที่สุดยอดของเรา แต่ไม่บอกกับเราเรื่องขบวนการถูกทดลองต่างๆ

นี่เป็นกรณีเดียวกันกับของโยเซฟ ความฝันของเขาสำแดงว่า เขาจะมีอำนาจเหนือพี่น้องของเขา แต่ไม่บอกถึงเรื่องที่เขาจะถูกขายไปเป็นทาส หรือเรื่องปัญหาต่างๆ หรือเรื่องที่เขาต้องเข้าคุก

การเข้าใจคำเผยพระวจนะว่า สำแดงเพียงบางส่วนของถ้อยคำของพระเจ้า จะทำให้เราไม่สิ้นหวัง เมื่อคำเผยพระวจนะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องเป็นพิเศษ

ถ้าเราถูกซ่อนปัญหา การผูกมัด หรือความไม่เชื่อฟัง ในชีวิตของเรา นั่นคือคำเผยฯที่เราได้รับพูดเกี่ยวกับชีวิตของเราในทางบวก เราไม่อาจสรุปว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปแก่เรา ตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้คือโมเสส ใน อพย 4:24-26 เมื่อพระเจ้าจะฆ่าโมเสส เพราะไม่เอาบุตรของตัวเข้าสุหนัตตามพระสัญญาของอับราฮัม

คำเผยพระวจนะที่ยืดยาว ที่พระเจ้าให้กับโมเสสก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องงานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของเขา ไม่ได้สำแดงบาปของเขาในเรื่องนี้ในชีวิตของเขา แต่แน่นอน การเงียบ(ของพระเจ้า) ไม่ได้สำแดงว่าพระเจ้ายอมผ่านให้ ข้าพเจ้าได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้หลายครั้งในคริสเตียนและแม้แต่ในตัวผู้รับใช้ ในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาได้รับคำเผยพระวจนะหลายอันในทางบวกจากผู้พยากรณ์และผู้เฒ่าผู้ใหญ่ ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขามีบาปที่หนักหนา พระเจ้าผู้ทรงเมตตาและทรงรับความเจ็ดปวดยาวนาน กีดกันบาปที่จะมาสู่ความสว่าง เท่าๆกับความปรารถนาของมนุษย์ที่จะได้รับการปลดปล่อยจากมัน

ในทางตรงกันข้าม บางคนสรุปเอาว่า งานรับใช้ของเขาประสบความสำเร็จอย่างดี และไม่มีคำเผยฯกล่าวถึงเรื่องความผิดความบาปของพวกเขาเลย พระเจ้าคงไม่เอาเรื่อง

คำเผยพระวจนะเปิดเผยความก้าวหน้า

ในรายละเอียดของน้ำพระทัยและทิศทางของพระเจ้า พระองค์จะทรงค่อยๆเปิดเผยแผนการในชีวิตของเรา ตัวอย่างที่ดีเรื่องนี้คืออับราฮัม ได้รับคำเผยฯ

  • ครั้งแรก กจ 7:3
  • ครั้งที่ 2 ปฐม 12:1-5
  • ครั้งที่ 3 ปฐม 12:7
  • ครั้งที่ 4 ปฐม 13:14-17
  • ครั้งที่ 5 ปฐม 15:1-21

ปฐม 16:1-16 , ปฐม 17:1-21 , ปฐม 18:1-15 , ปฐม 18:16-33 , ปฐม 21:9-21 , ปฐม 22:1-18 , ปฐม 15:15 , 25:7-11

คำเผยพระวจนะที่มีเงื่อนไข กับ ไม่มีเงื่อนไข

จากตัวอย่างในพระคัมภีร์ เราสรุปได้ว่าคำเผยพระวจนะไม่สำเร็จตามนั้นเสมอไป คำเผยฯบางอันมีเงื่อนไข การสำเร็จตามนั้นขึ้นอยู่กับความประพฤติของมนุษย์ ส่วงนอันอื่นๆเป็นแบบไม่มีเงื่อนไข จะสำเร็จตามนั้นไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

คำเผยฯแบบไม่มีเงื่อนไข โดยมากมักเป็นคำเผยฯทั่วไป มากกว่าคำเผยฯส่วนตัว

คำเผยพระวจนะแบบไม่มีเงื่อนไข

แผนการจักรวาลสำหรับมวลมนุษย์ชาติ อาจสำเร็จตามเวลาหรืออาจจะเลื่อนเวลาออกไปได้ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของมนุษย์

คำเผยพระวจนะแบบไม่มีเงื่อนไข อาจได้รับการปรับแต่ง หรือวางตารางเวลาใหม่ แต่ไม่อาจยกเลิกได้

คำเผยพระวจนะแบบมีเงื่อนไข

สามารถยกเลิกได้ ดัดแปลงได้ กลับทิศทางได้ หรือทำให้ลดน้อยลงได้ มันอาจจะล้มเหลวหรือไม่สำเร็จตามนั้น คำเผยฯประเภทนี้ที่จะสำเร็จตามนั้นได้ ต้องการการเข้าส่วนที่ถูกต้อง และความร่วมมือจากบุคคลที่ได้รับคำเผยฯนั้น

คำเผยพระวจนะส่วนตัวทั้งหมดทุกอัน เป็นแบบมีเงื่อนไข

ไม่มีคำเงื่อนไขในคำเผยฯว่า "เราจะ ..... ถ้าเจ้าจะ ......" (เป็นที่รู้กันระหว่างเรากับพระเจ้า)

กดว 13:26-33 , ปฐม 22:12 , 16-18 , 1 ซมอ 9:15-10:8 , 1 ซมอ 13:13-15 , 1 ซมอ 15:23 , 1 ซมอ 15:24-16:13

คำเผยฯส่วนตัว ต้องการความเชื่อเพื่อจะสำเร็จตามนั้น และ การเชื่อฟังเพื่อที่จะได้รับตามนั้น

 

 
  บทที่ 14 ตอบสนองอย่างถูกต้องต่อคำเผยพระวจนะส่วนตัว  
     
top
บทที่ 16 แนวทางสำหรับการจัดการคำเผยพระวจนะส่วนตัว  
top

การตอบสนองที่แน่ชัดในท่าทีและปฏิกิริยา มีความจำเป็นสำหรับเราที่จะให้ได้กำไรที่สูงสุดที่ควรจะเป็นจากคำเผยพระวจนะส่วนตัว เมื่อคำเผยพระวจนะส่วนตัวเป็นรีม่าเป็นจริงมาจากพระเจ้า การศึกษาฝึกฝนจากหลักพื้นฐานพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง จะต้องถูกกระทำเพื่อให้เกิดผลและเกิดสิ่งต่างๆ ไม่ว่าเราจะได้รับพระสัญญาจากโลโกหรือจากรีม่า การตอบสนองอันเดียวกันนั้นต้องมีเพื่อให้ได้รับตามพระสัญญา

บันทึก อ่าน และภาวนา คำเผยพระวจนะส่วนตัวของท่าน

"อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งได้ทรงประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะผู้ปกครองได้วางมือของท่าน จงภาวนาสิ่งเหล่านี้ โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อความเจริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งปวง" (1 ทธ 4:14-15) ("Neglect not the gift that is in thee, which was given thee by prophecy, with the laying on of the hands of the presbytery. Meditate upon these things; give thyself wholly to them; that thy profiting may appear to all. ")

ทีโมธีภาวนาคำเผยฯได้ถูกต้องอย่างไร นอกจากเขาจะบันทึกคำเผยฯไว้ แล้วอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก วิธีการปัจจุบัน คือ การอัดเทป แล้วแกะด้วยการเขียน แล้วจึงพิมพ์

สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เพื่องานรับใช้ใหม่ๆ

ถ้อยคำจากพระเจ้าที่พูดออกมา แต่ไม่ได้อัดเทปหรือเขียนไว้ มีค่าเพียงน้อยนิดเท่านั้น เพราะว่ารายละเอียดสำคัญจะถูกลืมไปในไม่ช้า ความคิดของเราสามารถจดจำถ้อยคำที่แน่นอนของคำเผยฯได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำเผยฯยาว เราไม่สามารถตอบสนองคำเผยฯอย่างถูกต้องได้ นอกจากทุกคำถูกบันทึกไว้ แล้วอ่าน และทำความเข้าใจให้ท่องแท้

การตระเตรียมอย่างถูกต้องต่อคำเผยพระวจนะส่วนตัว

ถ้าใครคนหนึ่ง(ผู้เผยพระวจนะ)มาหาเรา แล้วบอกว่าเขาหรือเธอมีถ้อยคำจากพระเจ้าสำหรับเรา เราควรจะขอให้เขารอสักครู่จนกว่าท่านจะเอาเครื่องอัดเทปมา หรือให้เขามาในสถานที่ที่มีเครื่องมือในการอัดเทป ถ้าไม่มีเครื่องอัดเทป เราควรขอให้คนอื่นช่วยจดให้ระหว่างที่เขาหรือเธอเผยพระวจนะ ในเรื่องนี้ ถ้าเขาหรือเธอเป็นคนของพระเจ้าที่แท้จริง ก็ไม่ควรที่จะปฏิเสธเรื่องทำนองนี้

ถ้าผู้พยากรณ์ได้เผยฯบนธรรมมาส เราต้องจดทุกอย่างที่จำได้ อย่างน้อยก็จุดสำคัญหลักๆ ข้าพเจ้าเคยบันทึกคำเผยฯด้วยวิธีเหล่านี้ แม้กระนั้นบางอันก็ยังสูญหายไป และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับคำเผยฯอันอื่นได้

การบันทึกทำให้เปรียบเทียบและยืนยันได้

หลังจากเราบันทึกคำเผยฯหลายๆอันและเปรียบเทียบแล้ว เรามักจะสังเกตเห็นแนวความคิดและถ้อยคำอันเดียวกัน ปรากฏในข้อความจากหลายบุคคลที่ให้คำเผยฯซึ่งไม่มักคุ้นกับเรื่องราวที่เขาได้พูด คำเผยฯเหล่านี้ช่วยให้รู้ว่าน่าจะมาจากพระเจ้า เพราะว่ามันยืนยันจากปากของพยานหลายคน

ในพระคัมภีร์ เมื่อพระเจ้าต้องเน้นจุดใดจุดหนึ่ง พระองค์จะกระตุ้นผู้เขียนให้คำเดิมๆ หรือประโยคเดิมหลายๆครั้ง ทำนองเดียวกันพระเจ้าก็กระตุ้นให้ผู้พยากรณ์คำส่วนตัวกับเรา พระองค์ก็จะเน้นด้วยคำพูดหลายๆครั้งในคำเผยพระวจนะครั้งหนึ่งๆ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้ผู้อื่นเผยพระวจนะแนวความคิดอันเดียวกันในเวลาและสถานที่ที่ต่างกัน นี่เป็นเรื่องสำคัญเมื่อเราจำต้องตัดสินใจหลักๆบนคำเผยพระวจนะ เพราะว่าเป็นการดี ที่จะตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆจากการยืนยันหลายทางที่ใช้การได้

สองเหตุผลสำหรับการบันทึก

ประการแรก เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลที่ได้รับคำเผยพระวจนะ เพราะคำเผยพระวจนะบางอันมีความหมายขึ้นมา เมื่อเวลาล่วงไปแล้วเป็นเดือน เป็นปี การเผยพระวจนะโดยปราศจากการบันทึกเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ

ประการที่สอง ข้าพเจ้ายืนกรานให้บันทึกคำเผยพระวจนะทุกอัน เพื่อปกป้องตัวผู้พยากรณ์เอง ประชากรมักจะใช้คำเผยพระวจนะผิดพลาด บิดเบือน และพยายามตีความหมายอีกครั้งหนึ่งจากสิ่งที่ได้ยิน และคิดว่าเขาได้ยินในคำเผยพระวจนะ แล้วเขาก็จดจำเข้าข้างความปรารถนาของตัวเอง แทนที่จะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า

จากประสบการณ์ของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเคยไปที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ซึ่งศิษยาภิบาลเป็นโสด ครั้งนั้นข้าพเจ้าเผยพระวจนะให้หญิงโสดผุ้หนึ่งในที่ประชุม หลายสัปดาห์ต่อมา เธอพูดว่า "รู้ไหม อาจารย์ฮามอน เผยพระวจนะให้ฉันว่า ฉันจะได้แต่งงานกับศิษยาภิบาล" เพื่อคนหนึ่งถามว่า เธอได้จดคำเผยพระวจนะนั้นไว้หรือเปล่า เธอบอกว่าจด อ่านได้ความว่า "พระเจ้าจะทรงประทานให้ท่าน ในความปรารถนาในใจของท่าน"

การแปลความหมายครั้งแรกไม่ถูกต้องเสมอไป

การบันทึก จด(เขียน) และภาวนา คำเผยพระวจนะช่วยให้เรารู้ว่าถ้อยคำๆเดียวกันอาจให้ความหมายหลายๆอย่าง ตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าเคยไปแสวงหาคำเผยพระวจนะ เพื่อให้พระเจ้าทรงประทานเงิน 40,000 เหรียญ ซึ่งครบกำหนดจ่ายอีกสองวันข้างหน้า ข้าพเจ้าได้รับคำเผยพระวจนะว่า "เราจะประทานสิ่งที่เจ้าต้องการ เพราะที่จะปฏิเสธเจ้าอาจจะเป็นการปฏิเสธเรา"

ข้าพเจ้ากลับไปสารภาพและภาวนาถ้อยคำที่ได้รับ แต่มันไม่สำเร็จตามนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าทูลต่อพระเจ้าว่า พระเจ้าไม่ได้ประทานให้ข้าพเจ้าตามที่ทรงสัญญา แต่พระเจ้าตรัสตอบว่า "เราได้ทำแล้ว เราได้ประทานสิ่งที่จำเป็นที่เราได้สัญญาผ่านคำเผยพระวจนะจากผู้รับใช้ของเราแล้ว เจ้าคิดว่าสิ่งจำเป็นที่สุดของเจ้าคือการจ่ายเงิน แต่เราเห็นสิ่งที่จำเป็นกว่าเงิน และเราได้ประทานแล้วด้วยความสัตย์ซื่อ" เราควรจะกลับไปดูคำเผยพระวจนะที่บันทึกไว้ร่วมกันกับศิษยาภิบาลหรือผู้อาวุโส ที่เชื่อทางนี้และเข้าใจเรื่องคำเผยพระวจนะส่วนตัว ท่านเหล่านั้นสามารถช่วยเราให้แน่ใจว่า ไม่ตีความผิด หรือใช้ถ้อยคำนั้นผิดพลาด

เหตุผลอื่นๆในการบันทึกคำเผยพระวจนะ

คือ เราไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆหลักๆขึ้นอยู่กับคำเผยพระวจนะ หรือสร้างบทสรุปในความหมายของคำเผยฯ ในขณะที่กำลังเผยฯ ดีที่สุดที่จะฟังอย่างสนใจและอย่างผู้อธิษฐาน สำรองการตัดสินใจขึ้นสุดท้ายไว้ตอนที่เรามีคำเผยพระวจนะในรูปของตัวอักษรบนกระดาษแล้ว อารมณ์ของเรา จิตใจของเรา และทัศนคติของเรา ในขณะที่รับคำเผยพระวจนะ ไม่สื่อที่จะประเมินอย่างถูกต้องได้ ในช่วงเวลานั้น วิญญาณของเราจะผูกพันในปฏิกิริยาการเป็นพยานต่อวิญญาณของบุคคลที่กำลังเผยพระวจนะ

เป็นพยานต่อคำเผยพระวจนะ

เราเป็นพยาน (Bear witness) ต่อคำเผยฯที่ถูกต้องแน่นอนในวิญญาณได้อย่างไร โดยวิธีเดียวกันกับเราเป็นพยานว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า "พระวิญญาณเองเป็นพยานด้วยกันกับวิญญาณของเรา" (รม 6:16)

การสังเกตระหว่างจิตกับวิญญาณ (Soul and spirit)

โลกของวิญญาณ (Spirit realm) ของมนุษย์ เป็นที่ที่ความรักและความเชื่ออย่างพระเจ้าทำการ อารมณ์ (Emotions) อยู่ในจิต (Soul) ประสาทสัมผัสทั้งห้า (Five senese) รวมทั่งความรู้สึก (Feeling) อยู่ในโลกของธรรมชาติเนื้อหนัง

เหตุผลของเรา (Reasoning) อยู่ในความคิด (Mind) ไม่ได้อยู่ในวิญญาณ (Spirit) ดังนั้นประเพณีของเรา (Traditions) ความเชื่อ (Beliefs) และความคิดเห็นที่กล้าแข็ง (Strong opinions) ไม่ได้เป็นพยานที่แท้จริงต่อคำเผยฯที่ถูกต้อง

อย่าทำอะไรที่ท่านไม่ได้มีพยาน

ถ้าไม่มีปฏิกิริยาหรือความรู้สึกในวิญญาณ แต่ยิ่งหว่านั้นมีความรู้สึกเป็นกลาง (Neutral feeling) ดังนั้นแล้วนั่นคือสถานการณ์ "รอคอยและคอยดู" (Wait and see) วิญญาณกำลังพูดว่า "ไม่มีอะไรต้องตื่นเต้น ไม่มีอะไรต้องกังวล"

การสำแดงใหญ่ๆ กับ การยืนยัน (New revelation vs. Confirmation)

บางคนบางครั้งบางเหตุผลรู้ในตัวของเขาเอง เริ่มสอนว่าคำเผยพระวจนะเพียงเพื่อสำหรับการยืนยันเท่านั้น และยืนยันการสอนว่า เราควรจะตัดคำเผยพระวจนะที่เสนอแนวคิดใหม่ๆทิ้งไป พระเจ้าจะต้องพูดกับเราก่อนคนแรกเป็นการส่วนตัวเสมอ ก่อนที่พระองค์จะตรัสกับผ่านคนอื่น ไม่มีข้อพระคำสนับสนุนความเชื่อนี้

ผู้พยากรณ์พูดสิ่งต่างๆที่ไม่เคยรู้สึก (Perceived) โดยบุคคล

ตัวอย่างเช่น ทรงตรัสเรื่อง ดาวิด เอลีชา เยฮู ฮาซาเอล เปาโล

เราต้องพิสูจน์ทุกถ้อยคำ ก่อนที่จะตัดมันทิ้ง

ทำสงครามที่ดีกับคำเผยพระวจนะ

เปาโลบอกทิโมธีให้ทำมากกว่าการภาวนาตามคำเผยพระวจนะ ท่านบอกเขาควรจะต่อสู้กับสงคราม "บุตรของข้าพเจ้า คำกำชับนี้ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่านตามคำพยากรณ์ซึ่งเล็งถึงท่าน เพื่อข้อความเหล่านั้นจะเป็นกำลังอย่างที่สุดให้ท่านต่อสู้ในการสงครามที่ดี" (War a good warfare) (1 ทธ 1:18)

ดาวิดและเยโฮซาฟัด ชนะศัตรูได้เพราะคำเผยพระวจนะที่ได้จากผู้พยากรณ์ (Jahaziel)

"เชื่อในพระเจ้าของท่าน แล้วท่านจะได้รับการสถาปนา เชื่อในเหล่าผู้พยากรณ์ของพระองค์ แล้วท่านจะจำเริญมั่งคั่ง" (2 พศด 20:20) [Believe in the Lord your God, so shall you be established; believe his prophets, so shall you prosper]

อย่าทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป จนกว่าได้รับทิศทางที่แน่ชัด

การตอบสนองคำเผยฯ โดยการทำสิ่งที่เคยทำมาก่อน ถ้ายังไม่ได้รับการทรงนำที่ชัดเจน แม้ว่าเราจะได้รับถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ตัวอย่างนี้คือ ดาวิด

ในทางกลับกัน เมื่อได้รับคำเผยพระวจนะที่ให้คำแนะนำที่แน่ชัด และการทรงเจิมเพื่อการปฏิบัติการทันที ดังนั้นก็ถึงเวลาที่จะปฏิบัติการ เยฮู นายทหารผู้หนึ่งของกองทัพอิสราเอล ได้รับคำเผยพระวจนะลักณะนั้น เอลีชาได้สั่งให้ผู้พยากรณ์หนุ่มคนหนึ่งเอาน้ำมันสำหรับเจิมและไปที่ ลาโมดกิเลอาด ที่ที่เขาจะเจิมเยฮูเป็นกษัตริย์ และวิ่งหนีไป ชายหนุ่มไม่เพียงแต่เจิมกษัตริย์เยฮูเท่านั้น แต่เขาได้เผยพระวจนะถึงการล่มสลายของราชวงศ์ของอาฮับ ซึ่งเอลียาห์ได้เคยพระวจนะให้เยฮูก่อนหน้านี้ประมาณ 20 ปี

ปฏิบัติการทันทีเมื่อได้รับการทรงนำที่เด่นชัด

เมื่อเยฮูบอกกับเพื่อนนายทหารคนอื่นๆที่ติดตามเขา ว่าผู้พยากรณ์ได้พูดอะไรและให้ทำอะไร พวกเขาก็ได้ตั้งเยฮูเป็นกษัตริย์ทันที เยฮูเชื่อว่าเวลานั้นเป็นเวลาที่ถูกต้อง และเพื่อนๆของเขาก็เห็นด้วย

จากตัวอย่างสองตัวอย่างนี้ (ดาวิดและเยฮู) เราสรุปได้ว่า ไม่เป็นการเพียงพอที่จะได้รับคำเผยพระวจนะ เราต้องตอบสนองอย่างถูกต้องด้วย เราต้องภาวนาคำเผยฯนั้น เป็นพยานคำเผยฯ เสียค่าสงคราม (Wage warfare) และปฏิบัติการเมื่อได้รับทิศทางที่ชัดเจนเท่านั้น

 

 
top
บทที่ 17 ท่าทีของการตอบสนองที่ถูกต้องต่อคำเผยพระวจนะ  
 

ความเชื่อ (Faith)

การเชื่อฟัง (Obedience)

ไม่รู้ดีกว่า ถ้ารู้แล้วไม่ทำ

"เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป" (ยก 4:17)

"ถ้ามนุษย์คนใดจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาจะรู้ว่า ... นั่นจะเป็นมาจากพระเจ้าหรือไม่ ..." (ยน 7:17) ดังนั้นถ้าเราเชื่อ และทำในสิ่งที่เรารู้ว่าจะทำ พระคริสต์จะตรัสและสำแดงมากขึ้น เกี่ยวกับพระวจนะ พระประสงค์ และทิศทางของพระองค์

ความอดทน (Patience)

ฮบ 6:12 ทำให้เราระลึกว่า ด้วยความเชื่อและความอดทน หลังจากเราได้รับคำเผยพระวจนะส่วนตัว และพิสูจน์แล้วว่ามาจากพระเจ้า เราต้องรักษาความเชื่อและความมั่นใจอย่างมั่นคงว่า มันจะสำเร็จตามนั้น โดยไม่ขึ้นกับเวลา

คำเผยพระวจนะส่วนตัวเป็นไข่มุกที่ล้ำค่า

วิญญาณชั่วสามารถใช้ผู้รับใช้ที่เป็นที่รู้จักกันดี หรือเพื่อนคริสเตียน มาขโมยถ้อยคำของพระเจ้าจากเราไปได้ แต่เราต้องไม่ยอมมัน

คำเผยพระวจนะส่วนตัวอาจทำให้เราสับสนและกระวนกระวาย มันอาจจะทำให้ผิดหวัง เพราะที่สัญญาไว้ไม่เกิดขึ้นตามเวลาหรือทิศทางที่เราคิดไว้ มันอาจจะเป็นตรงกันข้ามทั้งหมดกับสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังดำเนินอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราต้องรอคอยพระองค์อย่างอดทน แล้วพระองค์จะทรงให้เกิดตามถ้อยคำของพระองค์ เปลี่ยนแปลงทั้งตัวเราและสภาพแวดล้อมของเรา ถ้าเรายึดมั่น ดำเนินอย่างส่วนตัวและอย่างอดทนบนคำรีม่าจากพระเจ้า เราจะครอบครองถ้อยคำพระสัญญาทั้งสิ้น ถ้อยคำที่แท้จริงจากพระเจ้าจะสำเร็จในความปรารถนาและเวลาของพระองค์

ความอดทนจำเป็นสำหรับความอุตสาหะในช่วงขึ้นตอนของถ้อยคำ

ขั้นตอนของพระเจ้าที่ถ้อยคำจะสำเร็จนั้น จะไม่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราเองคาดคิด ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นช้า และบางทีก็ช้ากว่ามาก

มนุษย์ที่เติบโตจะต้องถูกสร้างก่อนที่ การสำแดงงานรับใช้ที่ยิ่งใหญ่

ตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ต้องเก็บตัวข้าพเจ้าไว้ 6 ปี พระองค์ทรงสร้างบุคคลก่อนที่พระองค์จะสำแดงงานรับใช้อย่างเต็มที่ ถ้าไม่เช่นนั้น บุคคลที่ยังไม่เติบโตจะพังลง เราจึงต้องได้รับการจัดเตรียมอย่างถูกต้อง เพื่อที่สามารถจะรับน้ำหนักเต็มพิกัดของงานรับใช้ที่เติบโตเต็มที่

แม้แต่พระเยซู พระเจ้าทรงใช้เวลา 30 ปี บนโลกสำหรับการจัดเตรียมนี้ และรับใช้ของพระเจ้าเพียง 3 ปีเท่านั้น สัดส่วนหนึ่งต่อสิบ

พื้นฐานพระคัมภีร์สำหรับการดำเนินตามคำเผยฯส่วนตัว

สดด 37:3-11 , ฮบ 10:35-36 , สดด 27:14 , อสย 40:31

ถ่อมใจ น้อบน้อม และอ่อนน้อม (Humility, meekness and submission)

เมื่อเราได้รับคำเผยพระวจนะที่แท้จริง และตอบสนองด้วยความ ลำพอง (pride) ฉุนเฉียว (anger) สงสัย (doubt) ขุ่นเคืองใจ (resentment) วิจารณ์ติเตียน (criticism) เห็นแก่ตนเอง (self-justification) หยิ่งยโสจองหอง (arrogance) เรากำลังสำแดงความไม่เติบโตหรือวิญญาณที่ผิด

ท่าทีที่ถูกต้องของบุคคลที่โตอย่างแท้จริง

พระคัมภีร์บอกว่า ถ้าเราตำหนิคนที่ฉลาด เขาจะฉลาดขึ้น และถ้าเราตำหนิคนโง่ เขาจะเกลียดชังท่าน เราต้องการให้เราถูกจัดอยู่ในส่วนของคนฉลาด ผู้ซึ่งสามารถรับถ้อยคำตำหนิและทำให้ฉลาดขึ้น และนั่นต้องอาศัยความถ่อมใจและอ่อนน้อม "คนที่ถ่อมใจจะฟังและมีความยินดี" (สดด 34:2) "รับด้วยความอ่อนน้อมถ้อยคำที่ได้ปลูกฝัง" (ยก 1:21)

คำเผยพระวจนะที่ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำ หรือว่า การตอบสนองของบุคคลที่ยังไม่โตกันแน่

บุคคลที่เติบโตที่ท่าทีถูกต้อง จะตอบสนองต่อคำเผยฯ ด้วยลักษณะมีสติปัญญาจากสวรรค์ ยก 3:17 แปลได้อีกนัยหนึ่งว่า สอนได้ เปิดโอกาสให้กับเหตุผล พร้อมที่จะรับคำแนะนำ มีมารยาท สุภาพ และปราศจาก ความสงสัย ใจไม่แน่นอน ไม่สัตย์ซื่อ ผู้ชอบธรรมและเติบโตจะไม่ตอบสนองด้วยเนื้อหนัง หรือว่านิสัยเด็กๆ แม้ว่าคำเผยฯนั้นจะไม่แม่นยำ

ความลำพองเย่อหยิ่ง (Pride) สามารถขัดขวางคำเผยฯส่วนตัวไม่ให้สำเร็จตามนั้นได้

ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ในความถ่อมใจที่จะรับพระวจนะของพระเจ้า คือ นาอามานแห่งซีเรีย (2 พกษ 5) ความลำพองเย่อหยิ่งส่วนตัวของเขาทำให้เขาเจ็บใจ เพราะว่าเอลีชาไม่มาหาเขาด้วยตัวเอง และคำเผยพระวจนะให้กับเขาดูไม่ได้เรื่อง (not make sense) ดังนั้นเขาตัดสินใจที่จะกลับบ้านด้วยความโกรธ

นาอามานจะไม่ได้รับการหายโรคเลย ถ้าเพื่อนของเขาไม่บอกให้เขาเอาความหยิ่งทิ้งไปและเชื่อฟังคำของพระเจ้าโดยมาทางเอลีชา การลงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนที่มีโคลนเจ็ดครั้งของนาอามาน เป็นการถ่อมใจของนาอามาน

การเชื่อฟังอย่างเต็มและถ่อมใจ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างอัตโนมัติของคำเผยฯ ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งถ้อยคำที่จะทำการได้ เมื่อเราเชื่อฟังทุกๆรายละเอียด เราไม่ต้องขอให้พระเจ้าทำให้มันเกิดผล สารภาพบาปกับพระเจ้าเพื่อทำให้แน่ใจว่า พระสัญญาของพระองค์จะได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระสัญญาจะทำการเมื่อเราเชื่อและยอมรับพระคริสต์ การเชื่อฟังต่อคำเผยฯจะเป็นการจุดให้มันสำเร็จผล เหมือนกับการที่เอากุญแจอันที่ถูกต้องสต๊าทรถยนต์

 

 
top
บทที่ 18 อุปสรรคที่ทำให้คำเผยฯส่วนตัวไม่สำเร็จตามนั้น  
top

ความไม่เชื่อ (Unbelief)

ความไม่เชื่อเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งที่จะให้คำเผยฯส่วนตัวสำเร็จตามนั้น กดว บทที่ 13 และ 14

"ดังนั้นเราเห็นว่า ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะความไม่เชื่อ" (ฮบ 3:19)

ความไม่เชื่อครอบครองกับชีวิตของบุคคล เพราะว่าไม่มารู้จักพระเจ้าอย่างเป็นการส่วนตัว

ความฝังใจ (Mindset)

พวกเราโดยมากวาดแผนการชีวิตไว้แล้ว เมื่อคำเผยฯไม่ได้อยู่ในทิศทางที่เราได้ตั้งไว้ เราก็พิจารณาว่า ยอมรับไม่ได้

ปัญหาของถ้อยคำดลใจ ที่เกี่ยวเนื่องกับ รูปกาล (Tenses)

ข้าพเจ้าเคยเผยฯให้สามีภรรยาคู่หนึ่ง ย้ำลักษณะนี้ "อย่าท้อถ้อย .... ท่านไม่ได้ผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น .... เรายังคงควบคุมอยู่ ... อย่าตำหนิตัวเอง หรือพยายามที่จะเข้าใจ หรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ... อย่าสับสนหรือผิดหวัง แต่รักษาความมั่นใจของเจ้า ในสติปัญญาและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า"

ท่านอาจกำลังดำรงชีวิตอยู่ในบทที่ 2 ของชีวิตของท่าน แต่คำเผยพระวจนะอาจจะกำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างในบทที่ 3 ของชีวิตของท่าน

ปัญหาของภาพพจน์ของตนเอง (The problem of self-image)

ปัญหาที่มีอำนาจมาก ที่ขัดขวางให้เราที่จะ รับ และ สำเร็จ ตามคำเผยฯ อีกอันหนึ่ง คือ ภาพพจน์ที่ผิด ถ้าเราเคยมีความล้มเหลวอย่างสูง (a strong failure complex) เหมือนกับที่โมเสสได้รับการสำแดงที่ต้นไม้ลุกเป็นไฟ (อพย 3, 4)

ถ้าถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าโดยตรง แต่มาโดยทางผู้พยากรณ์ โมเสสอาจจะไม่รับไว้แม้แต่ไว้พิจารณา

ความคิดเห็นส่วนตัวที่ผิด ก่อวินาศกรรมคำเผยฯส่วนตัว

แม้แต่พระเจ้าเองก็มีเวลาที่ยากลำบาก ที่จะแนะนำบางคนซึ่งมีภาพพจน์ของตัวเองต่ำ และมีความล้มเหลวที่ใหญ่หลวง บางครั้งเราก็แสวงหาเหมือนอย่างกับโมเสส ที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยจากพระเจ้า แต่เรากลับทำสิ่งที่พินาศเลวร้ายอย่างน่ากลัว

กำจัด ความกลัวที่ไม่ยอมรับ (Reject the Fear of Rejection)

ถ้าเราใช้เวลาหลายปีที่ทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น แต่มันไม่เกิดขึ้น แล้วในที่สุดถ้อยคำของพระเจ้าก็มาถึงเพื่อให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น แล้วจิตใจต่อต้านแล้วไม่ยอมรับคำเผยฯ เราไม่ต้องการที่จะผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง และเราก็ให้เหตุผลว่าสิ่งต่างๆไม่เคยเกิดขึ้น ครั้งนี้กับครั้งก่อนมันไม่แตกต่างกันหรอก

เราต้องไม่พัฒนาหรือเสริมสร้างความล้มเหลวที่ผ่านมา ให้มาเป็นอุปสรรคต่อคำเผยฯ เราต้องปกป้องจิตของเรา ใจของเรา ความคิดของเรา และวิญญาณของเรา ด้วยความฉลาดและด้วยพระสัญญา พระเจ้าสัตย์ซื่อที่จะเฝ้าดูถ้อยคำของพระองค์ให้สำเร็จ

คำเผยพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ (Prophecy Pertains to the Impossible)

ถ้าเรามุ่งเน้นนิมิตของเราบนพระสัญญา มากกว่าเรื่องเวลา หรือ ปัญหาต่างๆหรือเหตุการณ์ขัดแย้ง เราจะพบว่า ความเป็นไปไม่ได้ของมนุษย์ จะเป็นโอกาสของพระเจ้า ความเป็นจริงแล้ว จุดประสงค์และความยินดีสูงสุดของพระเจ้า คือ รอจนกระทั่งมนุษย์เห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้แล้วสำหรับพระสัญญาของพระองค์ ถ้าปราศจากการเหนือธรรมชาติเข้ามาแทรกแซง นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมพระเจ้ารอจนกระทั่งซาราห์ผ่านธรรมชาติเป็นเวลาหลายปี ถึงจะให้บุตรชายแก่เธอ และเหตุที่ทำไมพระเยซูคริสต์รอจนกระทั่งลาซารัส ตายไปแล้วสี่วัน พระองค์จึงปรากฏพระองค์ในฉากนั้น ความเชื่อต้องเป็นในพระเจ้าเท่านั้น (ต้องมีกับพระเจ้าเพียงอย่างเดียว) ไม่ใช่มีความเชื่อในถ้อยคำ แต่มีความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงตรัสถ้อยคำเหล่านั้น (Faith must be in God aline, not in the words but in the God who speaks them) ไม่ใช่ในความสามารถของเรา แต่ความสามารถของพระเจ้า

อุปสรรค์จาก เหตุผลทางธรรมชาติ และ ตรรกทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Logic)

ความคิดทางธรรมชาติไม่สามารถที่จะสังเกตหรือสำเร็จ ในสิ่งของฝ่ายพระวิญญาณ เพราะสิ่งต่างๆนั้นต้องสังเกตด้วยฝ่ายวิญญาณ บางครั้งเหตุผลทั่วไปของมนุษย์ และตรรกวิทยาทั่วไปนั้นต่อต้าน สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา ว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่สมเหตุสมผล ตัวอย่างลักษณะนี้มีมากมายในพระคัมภีร์

  • น้ำในทะเลแดงแยก (อพย 14)
  • ชัยชนะเมืองเยรีโคโดยการเดินรอบและส่งเสียงร้อง (ยชว 6:1-20)
  • การทวีคูณของน้ำมัน (2 พกษ 4:1-7)
  • การเปลี่ยนจากความกันดารเป็นความอุดมสมบูรณ์ในวันเดียว (2 พกษ 6:24-33 ; 7:1-20)

จิตขวางกั้น (SOUL BLOCKAGE)

บางครั้ง ไม่ใช่วิธีการคิด ที่ขัดขวางเราเชื่อคำเผยฯ แต่เป็นอารมณ์ (Emotion) ความปรารถนา (A willful desire) ความทะเยอทะยานส่วนตัว (A personal ambition) เหล่านี้ อาจเรียกว่า จิตขัดขวาง (A soul blockage) เพราะว่า จิต ประกอบด้วย ความคิด ความปรารถนา และอารมณ์ (mind, will and emotions)

อารมณ์ขัดขวางการเชื่อ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเกรงกลัวมนุษย์มากกว่าเกรงกลัวพระเจ้า เราพยายามแสวงหาทำให้คนอื่นเป็นที่พอใจ มากกว่าทำให้พระองค์พอใจ นี่คือปัญหาของกษัตริย์เศเดคียาห์ (ยรม 38:19) และซาอูล (1 ซมอ 15:24) ความรู้สึกของเราก็ขัดขวางความเชื่อ เมื่อเราไม่ชอบใครเป็นการส่วนตัว (ไม่ชอบคนที่เผยพระวจนะให้) หรือว่าไม่ชอบคำเผยฯของเขา นี่เป็นกรณีของพระราชาแห่งอิสราเอล (Jehoram) ที่มีต่อ มีคายาห์ (Micaiah) และกษัตริย์เศเดคียาห์ กับเยรามีย์ (ยรม 38:14-28)

เหตุของการไม่เชื่อรวมถึง มุ่งเน้นปัญหา แทนที่จะเป็น พระสัญญา (กดว 13:30-31) ล้มเหลวที่จะมารู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว (ดนล 11:32)

ไม่อดทน (IMPATIENCE)

ความไม่อดทนเป็นอุปสรรคหลักอีกอันหนึ่งที่จะทำให้คำเผยฯส่วนตัวไม่สำเร็จตามนั้นตัวอย่างลักษณะนี้ ในพระคัมภีร์มีมาก เช่น ความไม่อดทนของกษัตริย์ซาอูล ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคกับเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้ถ้อยคำของพระเจ้าที่เขาได้รับนั้นเป็นหมัน (1 ซมอ 13:12) ความไม่อดทน ผลักดันให้เขาถวายเครื่องสัตวบูชา แทนที่จะรอซามูเอลมาถึงก่อน ตามที่เขาได้รับถ้อยคำ

โมเสส ไม่อดทน เมื่อเขาฆ่าคนอียิปห์ เขาพยายามที่จะสำเร็จการทรงเรียกของเขา ในฐานะผู้ปลดปล่อยประชาชนของเขา ก่อนที่พระเจ้าจะทรงสำแดงทางของเขา ผลก็คือเขาต้องหนีไปในทะเลทราย และรออยู่ 40 ปี จนกระทั่ง พระเจ้าทรงเปิดเผยทางและสำแดงเวลาที่ถูกต้อง

อับราฮัมและซาราห์ รอคอยเป็นเวลา 10 ปี หลังจากที่เข้าสู่คานาอัน หวังว่าคำเผยพระวจนะส่วนตัวที่อับราฮัมได้รับ คือมีลูกชาย จะสำเร็จตามนั้น ซาราห์เริ่มหมดความอดทน และตัดสินใจว่า จะไม่รออีกต่อไป เธอคิดด้วยเหตุผลว่า พระเจ้าไม่ได้บอกอับราฮัมว่า เธอจะเป็นแม่ของเด็ก เธอคิดว่าเธอทำให้คำเผยฯสำเร็จตามนั้นได้ ด้วยการให้คนใช้ชื่อฮากาห์เป็นภรรยาอับราฮัม

การละเลย การรีรอ และความเฉื่อยชา (Negligence , Procrastination and Slothfulness)

ปัญหาของการละเลย และการรีรอ ทำให้เกิดความเฉื่อยชา อุปสรรคอีกอันหนึ่งที่จะทำให้คำเผยฯส่วนตัวสำเร็จตามนั้น ตัวอย่างคือ โมเสส เกือบจะตายในพระหัตถ์ของพระเจ้า ก่อนที่คำเผยพระวจนะจะสำเร็จตามนั้น เพราะว่าเขาละเลยที่จะรักษาพันธสัญญาของอับราฮัม ในเรื่องการทำสุหนัตให้กับบรรดาบุตรของเขา เขาอาจจะกำลังวางแผนที่จะกระทำอย่างนั้น แต่ไม่เคยทำ เพราะความเฉื่อยชาของเขาในเรื่องนี้ เกือบทำให้ชีวิตของเขาจบสิ้น เมื่อพระเจ้าพบกับเขาที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง และจะฆ่าเขา (อพย 4:24)

การที่บอกปัดสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งให้กระทำ สามารถทำให้เราเข้าสู่ปัญหาที่หนักได้

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือเล่มแรกของข้าพเจ้า ชื่อ คริสตจักรนิรันดร์ (The Eternal Church) ข้าพเจ้าหยุดการเดินทางไปรับใช้ที่ต่างๆ เพราะสาเหตุจากโรคนิ่ว ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองแอดแลนต้า รัฐจอร์เจีย ข้าพเจ้าประหลาดใจว่า "โรคนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร" ข้าพเจ้าได้รับการหายโรคอย่างอัศจรรย์ เรื่องโรคนิ่วนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1963 ข้าพเจ้าคิดว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าก็จะต้องได้รับการหายโรคอีก

ข้าพเจ้ายังคงรับใช้ต่อไป ทั้งๆที่เจ็บปวด แต่อาการนั้นต้องทำให้ข้าพเจ้าเข้าโรงพยาบาล ผลการตรวจเลือดชี้ว่าข้าพเจ้าจะต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน ทั้งๆที่ข้าพเจ้าร้องต่อพระเจ้าให้ส่งการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติมาสู่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าภาวนาพระคำเท่าที่ข้าพเจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องการหายโรค แต่ครั้งนี้ไม่เป็นผล มีสิ่งที่แน่ใจเงียบๆจากพระเจ้า ให้เดินหน้าต่อไปคือการผ่าตัด

พื้นฐานของการบันทึกและการอ่าน เรียนรู้ถึงวิถีทางที่ยากลำบาก

ข้าพเจ้าพลาดงานสำคัญๆหลายงาน และภรรยาของข้าพเจ้าต้องยกเลิกงานประจำที่หนักๆออกไปหลายสัปดาห์ ในช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงกดดันให้ข้าพเจ้าไปดูบันทึกคำเผยฯทั้งหมด ที่ข้าพเจ้าได้รับตั้งแต่อันแรกในปี 1952 และเขียนออกมาตามลำดับเหตุการณ์ (chronological order) ลงในสมุดโน๊ต สร้างความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้า เพราะมีคำหนึ่งปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่ข้าพเจ้าลืมไปแล้ว พระเจ้าได้บอกให้ข้าพเจ้าเขียนหนังสือ หลายครั้ง คำเผยฯอันหนึ่งมีคำว่า หนังสือ อยู่ตั้งเจ็ดแห่ง ข้าพเจ้าเริ่มแสวงหาพระเจ้าถึงเรื่องที่จะเขียน

วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังไปงานนมัสการงานหนึ่ง มีเพื่อนคริสเตียนที่ดีคนหนึ่งโทรมาและมาหาข้าพเจ้า เธอบอกว่า "พระเจ้าบอกฉันมาตลอดทางมาถึงบ้านคุณว่า ถ้าคุณไม่เขียนหนังสือต่อไป พระองค์จะทรงทำให้ร่างกายของคุณทรุดลงอีก" ข้าพเจ้ามีพยานภายในว่า นั่นเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ข้าพเจ้ายกเลิกการประชุม และเริ่มเขียนต่อไป ในช่วงเวลา 3 ปีต่อมา ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเป็นหนัก และการประชุมประจำเป็นรอง จนกระทั่งหนังสือนั้นเขียนเสร็จและได้รับการตีพิมพ์ หนังสือนั้นคือ คริสตจักรนิรันดร์ (The Eternal Church)

ลำพอง (หยิ่งผยอง) (Pride)

ความลำพองอาจจะเป็นอุปสรรคที่อันตรายที่สุด ที่จะให้คำเผยฯสำเร็จตามนั้น อย่างเช่น ลูซิเฟอร์ ใน อสย 14:13-14 และอย่างซาอูลใน 1 ซมอ 15:17

ความผิดหวัง และสิ่งลวงตา

เมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เกิดขึ้นตามที่เราต้องการ ความผิดหวังกับสิ่งลวงตา สามารถขวางกั้นความสำเร็จของพระคำได้ ซาราห์เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ว่าสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดความไม่เชื่อขึ้นได้ เมื่อเราได้รับคำเผยพระวจนะ เป็นเวลา 25 ปี ที่เธอได้คำเผยฯว่าเธอจะให้กำเนิดบุตรแก่อับราฮัม แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเธอผิดหวัง 12 ครั้งต่อปี ในระหว่างปีเหล่านี้

เมื่อทูตสวรรค์ปรากฏแก่อับราฮัมเมื่อเขาอายุ 99 ปี และบอกว่าจะมีทารกเกิดกับซาราห์ในเดือนที่ 9 สิ่งที่ลวงตาเธอบอกว่า ไม่มีทาง เธอหัวเราะเพราะจะต้องผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง ความล้มเหลวที่ต่อเนื่องมา ทำให้เธอมีภาพพจน์ที่กีดขวางเธอไว้

การตำหนิเกิดขึ้น การหลอกลวงตัวเอง และการทำให้ประชากรพอใจ

ศิษยาภิบาล หรือ ผู้พยากรณ์ หรือ ผู้รับใช้อื่นๆ จำนวนมาก ล้มเหลวที่จะทำให้คำเผยพระวจนะหรือนิมิต สำเร็จตามนั้น เพราะว่า เขาเกรงกลัวผู้ปกครองดูแล (deacons) ผู้ใหญ่ผู้อาวุโส (the elders) คณะกรรมการบริหาร หรือที่ประชุม เขาทำตามการลงคะแนนเสียง แทนที่จะฟังเสียงของพระเจ้า และเมื่อทุกอย่างล้มเหลว เขาก็ตำหนิคนอื่นๆในปัญหาต่างๆ

ซาอูลผิดในการกระทำของเขาที่ไม่เชื่อฟังที่คำเผยพระวจนะส่วนตัวมาถึงเขา เขากล่าวว่า "เรากลัวประชาชน และเชื่อฟังเสียงของประชาชน" ความกลัวและการตำหนิเกิดขึ้น ยังผลให้เป็นการหลอกลวงตัวเองด้วย ท้ายที่สุดเขาก็ยังยืนยันว่า เขาได้เชื่อพระเจ้า (1 ซมอ 15:20-21)

โมเสสก็มีปัญหาคล้ายคลึงกัน เมื่อเขายอมให้ความสงสารประชาชน มาทำให้เขาตัดสินใจว่า รุ่นของเขานั้นจะต้องเป็นรุ่นที่ครอบครองแผ่นดินที่ทรงสัญญา (กดว 14:11-25 , 20:7-12) เขาเองก็โกรธประชาชนจนทำให้เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผลลัพธ์ท้ายคือ ประชาชนและตัวเขาเองไม่ได้รับแผ่นดินที่ทรงสัญญา

ผลลัพธ์ของการตอบสนองที่ไม่ถูกต้อง

ผลของตอบสนองที่ไม่ถูกต้องต่อคำเผยฯสามารถพบได้ตลอดพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น เมื่อเศคาริยาห์ไม่เชื่อคำพูดของทูตสวรรค์ เขาก็เป็นใบ้เป็นเวลาหกเดือน และตัวอย่างโมเสส เอาไม้เท้าตีหินสองที และกษัตริย์เศเดคียาห์ตอบสนองคำเผยพระวจนะของเยรามีย์ไม่ถูกต้อง ทำให้เขาสุญเสียบัลลังก์ สูญเสียตา และอิสรภาพ และถูกผูกมัดโดยศัตรูของเขา

ตัวอย่างที่พิเศษสำคัญของการตอบสนองไม่ถูกต้องได้แก่ กษัตริย์เยโฮอาชของอิสราเอง (2 พกษ 13:14-20) เมื่อเอลีชาป่วย เยโฮอาชไปเยี่ยม และร้องไห้ต่ออาการป่วยของเอลีชา เอลีชาตอบด้วยคำเผยพระวจนะถึงอนาคตความสำเร็จของกษัตริย์ และบอกให้เยโฮอาชเอาคันธนูและลูกธนูมา แล้วเขาก็บอกให้กษัตริย์เปิดหน้าต่างทางทิศตะวันออก เอามือจับคันธนู แล้วให้ยิงลูกธนูออกไป ในขณะที่เอลีชาเอามือวางบนกษัตริย์ เพราะว่าเยโฮอาชเชื่อฟังคำของเอลีชาอย่างถูกต้อง เอลีชาเผยพระวจนะว่า เยโฮอาชจะได้ชัยชนะต่อคนซีเรียที่อาเฟก

การตอบสนองถ้อยคำของผู้พยากรณ์ให้พิจารณาคำเผยพระวจนะ

ต่อจากนั้น เอลีชาให้โอกาสเยโฮอาชอีกครั้ง ให้ปฏิกิริยาออกมาจากจิตใจและวิญญาณของเยโฮอาช ในการริเริ่มของเขาเอง เอลีชาบอกให้เอาลูกธนูอีกดอกหนึ่งมา แล้วตีไปที่พื้น เขาก็ทำตาม คือ ตีพื้นสามที แล้วเอลีชาก็ร้องใส่กษัตริย์ด้วยความโกรธว่า "ท่านน่าจะตีพื้นสัก 5 หรือ 6 ที เพื่อว่าท่านจะได้ตีซีเรีย จนกระทั่งพวกมันถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่บัดนี้ท่านจะได้รับชัยชนะต่อซีเรีย เพียงสามครั้งเท่านั้น"

ดินในจิตใจของมนุษย์สี่แบบ

ผลของการตอบสนองที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องต่อคำเผยฯ บางทีอาจถูกรวบรวมไว้ดีที่สุด โดยคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ ใน มธ 13:3-9

 

 
top
บทที่ 19 ชีวิตและความตายที่เกี่ยวกับคำเผยพระวจนะส่วนตัว  
top

เราได้รับคำพยานของคริสเตียนจำนวนมาก ที่ต่อสู้กับทูตแห่งความตายและชนะ เพราะคำเผยพระวจนะส่วนตัวของพวกเขา ตัวอย่างอันหนึ่งเป็นเรื่องของศิษยาภิบาลคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าพบเขาที่ฟอริด้าในงานนมัสการอันหนึ่ง ในปี 1979 เขาได้รับคำเผยพระวจนะส่วนตัวจำนวนมาก

คำเผยฯอันหนึ่ง พระเจ้าตรัสผ่านผู้พยากรณ์ พระสัญญาอันหนึ่งว่า เขาควรจะฝึกฝนลูกชายสองคนของเขาในการรับใช้ ในช่วงเวลานั้น ลูกทั้งสองของเขาไม่ได้อยู่ในการรับใช้ และคนหนึ่งก็ไม่ได้มีพระวิญญาณ พวกเขาอยู่แต่บ้าน

กลางปี 1981 มารดาของศิษยาภิบาลได้ตายด้วยโรคหัวใจ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงโรคหัวใจอันเดียวกันนั้นได้โจมตีในตัวเขา ต่อไปนี้เป็นคำพยานส่วนหนึ่งของ ดร.แอล เอ็ม โทน

ในคืนวันนั้น วิญญาณแห่งความตายได้ออกจากแม่ของข้าพเจ้า และมาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าต้องตายแน่ รู้สึกเหมือนกับว่าข้าพเจ้าออกจากร่าง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำคำเผยพระวจนะของ ดร.บิว ฮามอน มาสู่ข้าพเจ้า เกี่ยวกับเรื่องงานรับใช้ เขาได้เผยว่า ข้าพเจ้าจะเข้าสู่งานรับใช้พร้อมด้วยลูกชายทั้งสองของข้าพเจ้าในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมต่อถ้อยคำของ ดร.ฮามอน ท่านมีประวัติที่ดีในคริสตจักรของเรา ดังนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้า

เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำคำเผยฯเข้ามาในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่า ซาตาน เจ้าไม่สามารถฆ่าเราได้ เรายังไม่ได้ทำให้คำเผยฯนั้นสำเร็จ ในเวลานั้น ข้าพเจ้าเริ่มที่จะต่อสู้สงครามที่ดีด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง และเกือบจะในทันทีทันใด ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้น ข้าพเจ้ายังคงต่อสู้อยู่ในสงคราม เมื่อไรที่ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มต่อสู้ตาม 1 ทธ 1:18

ไม่ต้องบอกเลยว่า ข้าพเจ้าชนะ นั่นเป็นเวลา 6 ปีมาแล้ว และข้าพเจ้ายังคงสุขภาพดี คำเผยพระวจนะส่วนตัวเป็นอาวุธที่ทรงพลัง เพื่อที่จะใช้ เพื่อที่จะคว่ำศัตรู เมื่อมันโจมตีท่าน ต่อสู้กลับการต่อสู้ที่ดีของความเชื่อ ด้วยคำเผยพระวจนะเหล่านั้นที่มาเหนือท่าน

ผู้รับใช้ของพระเจ้าคนนี้ ต่อสู้กับสงครามกับสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลามา ของทูตแห่งความตายและชนะ เพราะเขาเชื่อและปฏิบัติบนคำเผยพระวจนะส่วนตัวของเขา เขาเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งในหลักคำสอนของเรื่องการหายโรค แต่ไม่ใช่พระคำโลโกที่จุดประกายความเชื่อของเขา แต่เป็นถ้อยคำรีม่าที่ได้รับจากผู้พยากรณ์ อ่าน 1 ทธ 1:18 , 4:14-15

ฟื้นขึ้นมาจากความตาย

ความเชื่อมาและทำการ เมื่อเรารู้ว่าเราได้รับรีม่าจากพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างเช่น สมิทซ์ วิงเกิลเวิร์ด นำคนจำนวนมากลุกจากความตาย ด้วยการทำการอิทธิฤทธิ์ (The working of micacles) และของประทานแห่งความเชื่อ (The gift of faith) ถ้าเราอ่านคำพยานของพวกเขาอย่างละเอียดอย่างใกล้ชิด เราพบว่า ตอนแรก พวกเขาได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า เกี่ยวกับ เมื่อไร ที่ไหน และอย่างไร ที่จะอธิษฐานคำอธิษฐานแห่งความเชื่อ โลโกคือจรวดและโครงสร้างของจรวด สำหรับสิทธิอำนาจทุกอย่าง แต่เป็น รีม่า ที่จุดชนวนให้เชื้อเพลิง และขับดันจรวดให้พุ่งออกไป สำเร็จโดยพระเจ้า

เผยพระวจนะจากรีม่า ไม่ใช่จากโลโก

รากเง่าของปัญหา เกี่ยวกับคำเผยพระวจนะส่วนตัวในเรื่องชัยชนะเหนือความตายนั้น เหมือนกับเรื่องที่จะมีชัยเหนือความเจ็บป่วยและโรคภัย

"พระเยซูคริสต์ ได้ทรงทำลายความตาย และได้นำชีวิตมา และความอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางพระกิตติคุณ(ข่าวประเสริฐ)" (2 ทธ 1:10) "Jesus Christ hath abolished death and hath brought life and immortality to light through the gospel"

เรามีข้อพระคำอันเดียวกัน ที่พิสูจน์ว่า พระเยซูคริสต์ได้มีชัยเหนือความตาย สำหรับคริสเตียนทุกคน อย่างที่เรามีชัยชนะของพระองค์เหนือบาปและโรคภัย แต่เมื่อคำเผยฯส่วนตัวจากความรู้จากหัวสมองในข้อพระคำความจริง และไม่ใช่จากรีม่าในจิตใจ มันยากที่จะสำเร็จตามนั้น ความจริงอยู่ในหัวสมอง แต่ความเชื่อออกมาจากใจ

พระเยซูคริสต์ทรงได้รับชัยชนะเหนือทุกสิ่ง

พระเยซูคริสต์ได้ทรงชนะความตายสำหรับคริสเตียนทุกคน แต่ไม่มีบันทึกสักครั้งเดียวเลย ในช่วงเวลา 2000 ปี ที่ธรรมิกชนได้ไปสวรรค์โดยไม่ตาย ความตายได้มาเหนือมนุษย์ทุกคน เพราะบาปของอาดัม แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงไถ่เราจากคำสาปแช่งของความตาย และหักแอกการนัดพบกับความตาย พระคัมภีร์บอกว่า ถ้อยคำโลโกนี้จะเป็นความจริงรีม่าในวันใดวันหนึ่ง และ "เราจะไม่ตาย แต่เราจะถูกเปลี่ยนในชั่วขณะหนึ่งในชั่วพริบตา" "เพื่อว่าชีวิตที่ต้องตายจะถูกกลืนด้วยชีวิต [ของพระคริสต์]" (2 คร 5:4 , 1 คร 15:52 , 1 ทธ 1:10)

จนกว่าพระเจ้าจะทรงสำแดงความอมตะในร่างกายของธรรมิกชน เราจะยังคงต้องตายในเวลาหนึ่ง โดยบางสิ่งบางอย่าง โรคภัย ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และความชรา ทั้งหมดเป็นตัวแทนของความตาย (are all agents of death) เราสามารถชนะตัวแทนของมันบางอัน แต่อันใดอันหนึ่งในพวกมันสามารถจบชีวิตที่ไม่อมตะของเราได้บนโลกนี้

สุดยอดของสงครามของเรา ไม่ได้ทำกับความเจ็บป่วย โรคภัย และเคราะห์ร้าย แต่ทำกับความตายนั่นเอง ความตายเป็นศัตรูและผู้ปล้น ชีวิตที่ต้องตาย นั่นเป็นเหตุให้พระคำแจ้งว่า ความตายจะเป็นศัตรูตัวสุดท้าย ที่จะถูกทำลายโดยคริสตจักร (1 คร 15:26)

โลโกบอกเราว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เรามีความอมตะและดำรงนิรันดร์ รีม่าบอกเราให้รู้ว่า จะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่จะให้คนใดคนหนึ่งตายในเวลานี้ หรือว่า มารพยายามปล้นชีวิตที่ยังไม่ถึงเวลาอันควรของเขาและเธอ เพราะผู้คนได้รับจัดสรรให้ดำรงชีวิตอยู่ถึง 70 ปีแล้ว ไม่ได้หมายความว่า เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าอัตโนมัติที่จะให้พวกเขาตายโดยตัวแทนแห่งความตายอันใดอันหนึ่ง ที่มาโจมตีเขา ท่าทีอย่างมีสติปัญญาก็คือยืนอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า พระองค์ประสงค์จะช่วยจิต รักษาร่างกาย และปลดปล่อย จากความตาย เราต้องเชื่อ สารภาพยอมรับ และประกาศแจ้งเรื่องนี้ แต่เราไม่อาจพูดว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้" ในคำเผยพระวจนะส่วนตัวในเรื่องนี้ กับบุคคลที่เฉพาะเจาะจง หรือในสถานการณ์ใดๆ เว้นแต่ว่า เราได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ถ้อยคำรีม่าจากพระเจ้า ในทางบวกอย่างสมบูรณ์แบบ

คำเผยพระวจนะส่วนตัวที่ทึกทักเอาเอง (Presumptuous Personal Prophecy)

ข้าพเจ้าเคยได้ยินกรณีที่ยิ่งยวด ของคำเผยฯที่ทึกทักเอาเองและรีม่า เกี่ยวกับเรื่องความตายและชีวิตนี้ มีผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในช่วงปี 1940 ถึง 1960 ได้มีผู้รับใช้ติดตามท่านจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงปีท้ายของงานรับใช้ของท่าน เมื่อท่านตาย ผู้ติดตามเหล่านี้พิจารณาว่า พระเจ้าจะทรงให้ท่านฟื้นขึ้นมาจากความตาย พวกเขาเอาศพของท่านไว้หลายเดือน เชื่อ เผยพระวจนะ สั่ง(บัญชา) ว่าท่านจะฟื้นขึ้นมาจากความตายในตอนเช้าของวันอีสเตอร์ แต่ในที่สุดพวกเขาถูกบังคับให้ฝั่งศพท่าน

ข้าพเจ้าได้ยินถึง ผู้พยากรณ์หญิง ที่ประกาศแต่งตั้งตัวเองคนหนึ่ง ในเมืองฟีนิกส์ รัฐอริสโซน่า บิดาของเธอตาย และเธอเคยเผยพระวจนะว่าพ่อของเธอจะไม่ตาย เมื่อเขาตาย เธอก็เผยพระวจนะว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย เธอเก็บศพเขาไว้ในบ้าน ใส่ไว้ในน้ำแข็ง รอคอยการฟื้นขึ้นมาของเขา จนกระทั่งผู้มีอำนาจของบ้านเมืองสั่งให้เธอฝั่งเขาเสีย เธอก็จัดการเอาศพใส่หีบที่มีน้ำแข็ง และหนีจากมือกฏหมายไปได้ 3 เดือน เธอพิจารณาจากคำเผยพระวจนะว่าเขาจะลุกขึ้นมา ในที่สุด กฏหมายได้จับเธอได้และบังคับให้เธอฝั่งพ่อของเธอ

หลายปีมาแล้ว มีผู้คนจำนวนมากที่ตายในเวลาไม่ควร ในตอนกลางของภาพตะวันตก ในกลุ่มคนที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้วในความจริงอย่างพระคัมภีร์เรื่องการหายโรค พวกเขาต่อต้านยารักษาโรค (เวชภัณฑ์) และปฏิเสธความช่วยเหนือทางธรรมชาติจากบรรดานายแพทย์ โดยการประพฤติเช่นนี้ พวกเขาพยายามที่จะสำเร็จตามนั้นด้วยโลโก โดยปราศจากรีม่าแห่งความเชื่อ และการสำแดงโดยพระวิญญาณ ผลคือ พวกเขาทำให้ความจริง (Truth) เข้าสู่โศกนาฎกรรมความเป็นจริง (Reality) เข้าสู่ศาสนาที่มีกฏตายตัว (A religion of rigid rules) ความเชื่อ (Faith) เข้าสู่สูตร (Formula) พวกเข้าย้ายออกจาก การทรงนำโดยพระวิญญาณ เพื่อเป็นการถูกครอบครองโดยหลักคำสอน (Doctrine) จากการเร้าใจโดยความเชื่อ (Motivated by faith) เป็นการเร้าใจโดยความกลัวความล้มเหลวที่จะเชื่อฟัง จากการดลใจภายในเป็นภายนอก

ใช้โลโกและรีม่าอย่างถูกต้อง คำเผยพระวจนะส่วนตัวและประกาศความเชื่อ

ในเวลาใดก็ตาม ที่มนุษย์ใช้ความจริงฝ่ายวิญญาณ และพยายามที่จะทำให้มันเกิดผลโดยปราศจากพระวิญญาณแห่งพระเจ้า มันจะกลายเป็น รูปแบบที่ปราศจากพระเจ้า "ตัวอักษรฆ่า แต่พระวิญญาณให้ชีวิต" (2 คร 3:6) (The letter killeth but the Spirit giveth life) ความพยายามที่จะทำให้โลโกทำงานโดยปราศจากรีม่า ก็เหมือนกับความพยายามที่จะทำให้รถยนต์ทำงานโดยปราศจากเชื้อเพลิง หรือพยายามทำให้เชื้อเพลิงทำงานโดยปราศจากหัวเทียนที่จะจุดระเบิด ถ้าเชื้อเพลิงทำงาน แต่ปราศจากการกำกับที่ถูกต้อง (บังคับพวกมาลัย) มันก็จะกลายเป็นแรงแห่งการทำลาย เราต้องการพระคัมภีร์ แต่เราก็ต้องการพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะส่องสว่างด้วย และดลใจเพื่อให้นำมาใช้อย่างถูกต้องในพระวจนะของพระเจ้า

 

 
top