Praise the Lord Jesus Christ
หน้าหลัก (Main)
อูริม (URIM)
 
 
  • หนังสือนี้ สำหรับผู้มีความรู้ทรงพระคัมภีร์ฝ่ายวิญญาณ
  • อูริมและทูมมิม คือ อะไร มีข้อพระคำบอกไว้ 8 แห่ง แต่ยังไม่เข้าใจ
  • วิญญาณซามูเอลที่ขึ้นมาคุยกับซาอูล เป็นวิญญาณชั่วหรือคนของพระเจ้า
  • หลังจากพระเยซูคริสต์เจ้า สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว พระองค์ไปไหน ทำอะไรบ้าง
  • ชีวิตการปรนนิบัติรับใช้ของซามูเอล เป็นตัวอย่างแก่ผู้รับใช้ในคริสตจักรปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
  • ทดสอบการทรงนำของท่าน ด้วยการตอบคำถามท้ายหนังสือนี้
 
   
  บทที่ 1 คนทรง  
 

อ่าน พระคัมภีร์ 1 ซามูเอล 28:3-20 เรื่อง ซาอูลและคนทรงที่เมืองเอนโดร์ " ๓. ฝ่ายซามูเอลได้สิ้นชีพแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ทุกข์ให้ท่าน และฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดคนทรง และพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ๔. คนฟีลิสเตียก็ชุมนุมกัน และมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา ๕. เมื่อซาอูลทอดพระเนตรกองทัพของคนฟีลิสเตียก็กลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก ๖. และเมื่อซาอูลทูลถามพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ ๗. ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหา และถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์" ๘. ซาอูลจึงปลอมพระองค์ และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไป พร้อมกับชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า "ขอทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้นั้นขึ้นมา" ๙. หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านคงทราบแน่แล้วว่า ซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้กำจัดคนทรง และพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า" ๑๐. แต่ซาอูลทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระเจ้า ว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกโทษ เพราะเรื่องนี้แน่ฉันนั้น" ๑๑. หญิงนั้นจึงทูลถามว่า "ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา" ซาอูลตรัสว่า "เรียกซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน" ๑๒. และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียงดัง และหญิงนั้นกราบทูลซาอูล ว่า "ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล" ๑๓. พระราชาตรัสแก่นางว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไร" และหญิงนั้นกราบทูลซาอูล ว่า "หม่อมฉันเห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน" ๑๔. พระองค์ถามนางว่า "รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร" และนางตอบว่า "เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่" ซาอูลก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้ ๑๕. แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม" ซาอูลทรงตอบว่า "ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้เผยพระวจนะ หรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมา เพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี" ๑๖. และซามูเอลตอบว่า "ในเมื่อพระเจ้าทรงหันจากท่านเสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า ๑๗. พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านอย่างที่พระองค์ตรัสบอกทางข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระเจ้าทรงฉีกราชอาณาจักรนั้น ออกเสียจากมือของท่าน และทรงมอบให้แก่คนอื่น คือ ดาวิด ๑๘. เพราะท่านมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มิได้กระทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้ ๑๙. ยิ่งกว่านั้นอีก พระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระเจ้าจะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย" ๒๐. แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว "

ในพระคำตอนนี้ ซามูเอลได้ตายไปแล้วและฝั่งศพไว้ที่เมืองรามาห์ บ้านของซามูเอล เมืองรามาห์อยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม ประมาณ 10-20 กม. ในข้อ 3 ตอนท้ายมีประโยคว่า "และซาอูลทรงกำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน" คำว่า "คนทรง" นั้น ในพระคัมภีร์คิงส์เจมส์ (King James Version ต่อไปจะพูดสั้นๆว่า คิงส์เจมส์) ใช้คำว่า Familiar spirits ในพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับ R93 ไม่มีคำแปลว่าไว้ คำๆนี้ปรากฏตั้งแต่สมัยโมเสส ก็ใช้คำว่า คนทรง ขอแปลคำนี้ว่า "วิญญาณเสมือน" หรือ วิญญาณละม้าย หรือ วิญญาณเลียนแบบ

ข้อ 4-5 เมื่อคนฟีลิสเตีย ยกกองทัพเข้ามา ซาอูลยังไม่กลัว เมื่อซาอูลเตรียมทัพออกไปจะสู้รบ เมื่อเห็นกองทัพของศัตรูก็เกิดความกลัว ลักษณะนี้เป็นลักษณะของมนุษย์ที่เราพบในทุกคน เมื่อยังไม่เห็นยังไม่กลัว เมื่อเห็นถึงจะกลัว พระเจ้าจึงทรงพูดเสมอว่า อย่ากลัวเลย (fear not) บางคนฟังคำเผยพระวจนะคำนี้แล้ว ไม่รู้สึกว่า คำนี้มีความสำคัญ หรือ บางคนบอกว่าพูดคำนี้ทำไม

โมเสสเองเมื่อรับแผ่นศิลาชุดที่สองที่จารึกพระบัญญัติ 10 ประการ พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงลงไปเถิด ประชาชนของเจ้ากำลังกบฏ โมเสสยังไม่เห็นภาพการกบฏ แต่พระเจ้าเห็น พระเจ้าจะทรงทำลายประชาชน และให้โมเสสมีชนชาติใหม่ที่ยิ่งใหญ่ โมเสสกลับอ้อนวอนขอพระเจ้าทรงยกโทษแก่ประชาชน ในที่สุดพระเจ้ายอม แต่เมื่อโมเสสถือแผ่นศิลาลงมาถึงเชิงเขา เห็นภาพการกบฏของประชาชนของตน โมเสสจึงโกรธและโยนแผ่นศิลาลงพื้นแตก (อพยพ บทที่ 32)

ในข้อ 6 ซาอูลทูลถามพระเจ้าหลายวิธี เพื่อขอการทรงนำ ทั้งโดยการขอนิมิต (ความฝัน) และ อูริม และ ผ่านผู้เผยพระวจนะ(หรือผู้พยากรณ์) แต่พระเจ้าไม่ทรงตอบ เพราะพระเจ้าพรากจากซาอูลแล้ว การทรงนำโดยวิธีอูริมนั้น ในขณะนี้ขออธิบายให้ทราบเพียงว่า เป็นการทรงนำว่า "ปฏิเสธ" หรือ "ตอบรับ" หรือพูดง่ายๆก็คือ ถูกหรือผิด กรุณาดูบทที่ 2 (ถัดไป) เรื่อง อูริมและทูมมิม

ดูเหมือนว่าซาอูลเป็นคนไม่ฉลาดรอบคอบนัก ในข้อ 7 ซาอูลจึงต้องหาคำปรึกษาจากคนอื่นคือ คนทรง ข้อที่ 8 ซาอูลจึงปลอมตัว ออกไปพร้อมกับลูกน้องอีก 2 คน ไปหาหญิงคนทรง ตอนท้ายของข้อนี้ พระคัมภีร์เขียนว่า "ขอทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อคนใดก็ให้เรียกผู้นั้นขึ้นมา" คิงส์เจมส์ ใช้คำว่า Familiar spirits (วิญญาณเสมือน) ใน NIV (พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับนานาชาติ) ใช้คำว่า a spirit (วิญญาณหนึ่ง)

ในข้อที่ 9 หญิงคนทรงกับซาอูล (ซึ่งนางไม่รู้ว่าเป็นซาอูล) นางเข้าใจว่าเป็นสายลับเพื่อจะมาจับนาง ตอนท้ายของข้อนี้ คิงส์เจมส์ มีคำว่า "เพื่อให้ข้าพเจ้าตาย" ในข้อ 10 ซาอูลสัญญาหญิงคนทรง ออกพระนามพระเจ้า ว่า จะไม่เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อหญิงนั้นเรียกวิญญาณของซามูเอลขึ้นมา โดยนางเห็นโดยนิมิต แล้วมีบางสิ่งที่ทำให้นางรู้ว่า คนที่มาถามนางนั้นคือซาอูล

ซาอูลดูเหมือนว่า ไม่สนใจการตกใจกลัวของหญิงนั้น แต่ถามว่านางเห็นอะไร หญิงนั้นตอบในข้อที่ 13 ว่า เห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน คำว่าเทพยเจ้า ในคิงส์เจมส์ใช้คำว่า gods ใช้ตัวจีเล็ก (g) ในภาษาฮีบรูใช้คำว่า elohim แปลว่า พระเจ้าหลายองค์ เป็นคำพนูพจน์ในภาษาฮีบรู คำเดียวกับในปฐมกาล 1:1 สังเกตุว่า คนที่ไม่ใช่ลูกของพระเจ้า หรือไม่ใช่คริสเตียนมักใช้คำผิดๆ อย่างหญิงผู้นี้ (ท่านจะพบคำว่า god of this world ใน 2 โครินธ์ 4:4 ภาษาไทยแปลไว้ว่า พระแห่งยุดนี้)

ในข้อที่ 14 หญิงนั้นบรรยายลักษณะชายที่นางเห็น ซาอูลซึ่งคุ้นเคยกับซามูเอล จึงรู้ว่าเป็นซามูเอล จึงกราบลงถึงดิน ในข้อที่ 17 ซามูเอลบอกซาอูลว่า พระเจ้าได้ถอดซาอูลจากการเป็นกษัตริย์ อย่างที่พระเจ้าเคยบอกซามูเอลไว้

ในข้อที่ 19 ซามูเอลยังพยากรณ์อีกว่าพรุ่งนี้ซาอูลและบุตรชายจะต้องตายและอิสราเอล จะตกอยู่ในมือของคนฟีลิสเตีย ซาอูลได้ยินคำพยากรณ์ก็ล้มทั้งยืน

ทั้งหมดนี้ที่ซาอูลพูดกับซามูเอล อาจพูดโดยเหมือนการเผยพระวจนะผ่านหญิงนั้น แต่ซามูเอลที่หญิงนั้นเห็น และการพูดคุยของซามูเอล ไม่ใช่ซามูเอลตัวจริง ไม่ใช่วิญญาณของซามูเอล แต่เป็นวิญญาณชั่ว วิญญาณชั่วประเภทนี้เราเรียกว่า วิญญาณเสมือน (Familiar spirit) ในเฉลยธรรมบัญญัติ 18:10,11 (๑๐. อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน ซึ่งให้บุตรชาย หรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย เป็นหมอดู เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์ หรือเป็นนักวิทยาคม ๑๑. เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมด แม่มด หรือเป็นหมอพราย )ทั้งหมดนั้นเป็นวิญญาณเสมือน นิสัยคือมันชอบลอกเลียนแบบ ครั้งหนึ่งมีการฟื้นฟูที่ คริสตจักรพระเยซูคริสต์(พัทยา) มีหญิงคนหนึ่ง ที่มาจากโบสถ์อื่น มาร่วมประชุมด้วยในวันที่สอง (มีฟื้นฟู 3 วัน) เมื่ออาจารย์ประทาน ณ พัทลุง เอาน้ำมันจากอิสราเอลเจิมที่หน้าผากแต่ละคน เมื่อมาถึงหญิงผู้นี้ หญิงผู้นี้สบัดหน้าขัดขืน พวกเรา 5-6 คนต้องจับไว้ แล้วก็ช่วยกันขับไล่วิญญาณชั่ว เธอเอาหน้าติดพื้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมให้เห็นหน้า ผมยาวของเธอก็บังหน้าเอาไว้ด้วย พวกเราส่วนใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ มาช่วยการฟื้นฟูนั้น ไม่รู้จักหญิงคนนี้ ในระหว่างขับวิญญาณชั่ว พระเจ้าทรงตรัสบอกผู้พยากรณ์ของคริสตจักรว่า ผู้หญิงคนนี้มีวิญญาณชั่วหลายตัว มีทั้งวิญญาณหลอกลวง วิญญาณโกหก วิญญาณล่วงประเวณี และวิญญาณที่ชอบทำตัวเป็นพระเยซู วิญญาณตัวสุดท้ายนี่แหละคือ วิญญาณเสมือน ชอบลอกเลียนแบบ เราใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เธอจึงสงบ เรามารู้ทีหลังว่า เธอเป็นคริสเตียนมานานพอสมควรและเคยเป็นครูระวีวารศึกษาด้วย ในระยะหลังแยกทางกับสามี จึงทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป

มีคำพยานเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นในต่างประเทศ ผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนหากิน เป็นผู้รับใช้ที่คนทั่วไปรู้จักด้วย เขาไปหาชายผู้หนึ่งที่บ้าน ชายเจ้าของบ้านเคยฟังเขาเทศน์ในโบสถ์ครั้งหนึ่ง ผู้รับใช้คนนี้บอกชายเจ้าของบ้านว่า พระเจ้าตรัสบอกเขาว่า เจ้าของบ้านเอาแหวนเพชรมีค่ามากวงหนึ่ง ซ่อนไว้ที่ตรงนั้นตรงนี้ และพระเจ้าตรัสว่า ให้เอาแหวนนั้นถวายให้แก่ผู้รับใช้ ชายเจ้าของบ้านเชื่อว่า พระเจ้าตรัสดังนั้นจริง เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า เขาซ่อนแหวนไว้ที่ตรงไหน เขาจึงให้แหวนนั้นแก่ผู้รับใช้ไป ในกรณีนี้ วิญญาณเสมือน (Familiar spirit) เป็นตัวบอกผู้รับใช้ว่าแหวนอยู่ไหน ไม่ใช่พระเจ้าบอก เราพบบ่อยที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยว่า เด็กอายุ 5-6 ขวบ ระลึกชาติได้ พวกนี้คือ วิญญาณเสมือนทั้งสิ้น มีผู้ที่อยู่ในนิกายอื่นจำนวนมาก ที่ได้รับยกย่องเป็นอาจารย์ และมีอาจารย์ชื่อดังๆที่ตายไปแล้วสถิตอยู่ ทำการอัศจรรย์ต่างๆ พวกเหล่านี้เป็นวิญญาณเสมือนทั้งสิ้น

ความจริงแห่งพระเจ้าก็คือ ผู้ที่ตายจากร่างกายนี้ไปแล้ว วิญญาณของเขาจะไปได้สองทาง คือ หนึ่งไปเมืองบรมสุขเกษมของพระเจ้า ส่วนหนึ่งของสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่พระเจ้าทรงสถิต ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Paradise อีกทางหนึ่ง วิญญาณของคนที่ตายไป จะไปอยู่ใน "แดนผู้ตาย" หรือ "แดนคนตาย" หรือบางทีใช้คำว่า ปากแดนผู้ตาย จะไม่มีวิญญาณคนตายล่องลอยในอากาศอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ (สวรรค์ชั้นที่ 1) เป็นวิญญาณชั่วทั้งสิ้น และวิญญาณชั่วพวกนี้ไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณชั่วที่ตกจากฟ้าสวรรค์ เมื่อครั้งพระเจ้าทรงให้มีคาเอลขับไล่ลงมา มีสองพวก พวกหนึ่งถูกผูกมัดไว้ในแดนผู้ตายแล้ว จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาพิพากษา อีกพวกหนึ่งอยู่บนแผ่นดินโลก ยังไม่ถูกผูกมัด พระเจ้าไม่อนุญาติให้วิญญาณของคนที่ตายแล้วทั้งในเมืองบรมสุขเกษม หรือในแดนผู้ตาย ลงมาบนโลก เคยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น บันทึกในพระคัมภีร์ มัทธิว 17:1-8 เมื่อโมเสสและเอลียาห์มาสนทนากับพระเยซูบน ภูเขาสูง

ลูกา 16:26-31 บอกให้เราทราบว่า พระเจ้าไม่อนุญาติให้วิญญาณของคนตายแล้ว ลงมาบนโลก ไม่ว่าวิญญาณของคนตายนั้นจะอยู่ในสวรรค์ อย่างเช่นลาซารัส หรือวิญญาณคนตายแล้วที่อยู่ในแดนผู้ตาย อย่างเช่นเศรษฐีนั้น ประโยคท้ายของข้อที่ 31 เขียนว่า "แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ" ในพระคัมภีร์ อิสยาห์ 8:19 เขียนว่า ควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือ ผู้ร้องเสียงจ๊อกแจ๊กและเสียงพึมพำ เป็นข้อห้ามที่จะไปปรึกษาคนทรง ซาอูลจึงทำผิดอย่างจัง ข้อพระคำใน อพย 18:10,11 ก็ได้ตักเตือนห้ามไว้

ในพระคำหัวเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ สังเกตุในข้อที่ 8 ใช้คำว่า เรียกผู้นั้นขึ้นมา ในข้อที่ 13 มีคำว่า ขึ้นมาจากแผ่นดิน ข้อ 14 มีคำว่า ขึ้นมา ข้อที่ 15 วิญญาณชั่วพูดใช้คำว่า เรียกเราขึ้นมาทำไม ถ้าเป็นวิญญาณจากสวรรค์ต้องพูดเรียกเราลงมาทำไม

ดังนั้น ซาอูลพูดคุยกับวิญญาณชั่ว คือวิญญาณเสมือน ที่ทำตัวเป็นซามูเอล โปรดสังเกตุว่า วิญญาณเสมือนซามูเอลนี้ ทำตัมีรูปร่าง การแต่งกายเหมือนซามูเอล และรู้ประวัติของซามูเอลละเอียดหมด เขารู้ว่าพระเจ้าพรากจากซาอูล และทรงถอดออกจากการเป็นกษัตริย์ และยังรู้แผนการของพระเจ้าอีกด้วย เพราะเขาพยากรณ์ในข้อที่ 19 ว่า ซาอูลและบุตรจะต้องตาย เขาพูดว่าตายแล้วไปอยู่กับเรา จะต้องตายแล้ไปอยู่กับวิญญาณชั่วในแดนผู้ตายซึ่งมันจะต้องไป

ข้าพเจ้าได้สอนเรื่องนี้ในเซลล์วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 1994 หลังจากการสอน เราอธิษฐาน และพระเจ้าได้เผยพระวจนะผ่านผู้พยากรณ์ ยืนยันคำสอนเหล่านี้ ความตอนหนึ่งในคำเผยพระวจนะมีว่า ถ้าเป็นวิญญาณจากสวรรค์จะไม่ใช้คำว่า ขึ้นมา

ศุกร์ 30/12/1994 เวลา 22.30 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

ลูกเอ๋ย เป็นการดี ที่เจ้าทั้งหลายนั้น ศึกษาเพื่อจะรู้และเข้าใจถึงน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย เพราะเราตรัสบอกกับเจ้าเสมอว่า ชีวิตของบรรพบุรุษของเจ้าในอดีตกาลโบราณนั้น เป็นสิ่ง เป็นสื่อแห่งการดำเนินในชีวิตของเจ้าทั้งหลายทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เป็นตัวอย่างและเป็นแบบแผนที่เจ้าทั้งหลาย ควรจะเฝ้ามอง และตรึกตรอง และนำมาปฏิบัติ สำหรับบรรดาบุคคล ที่เดินในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจนลูกเอ๋ย และบรรพบุรุษของเจ้าผู้หนึ่งผู้ใด ที่ไม่ได้เดินในทางของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็จะเห็นตัวอย่างของเขาเหล่านั้นออกมา ทั้งผู้ที่ทำถูกและผู้ที่ทำผิดในสายพระเนตรของเราลูกเอ๋ย เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้วให้กับชีวิต ของเจ้าทั้งหลายทุกคน ถ้าเจ้าทั้งหลายทุกคนจะแสวงหาและค้นหาอย่างจริงใจ เหมือนดังที่เจ้าทั้งหลายได้ปฏิบัติอยู่ในเวลานี้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า บุคคลใดที่พระเจ้าทรงเจิมและแต่งตั้งไว้ เราก็จะกำหนดและถอดลงได้เช่นเดียวกัน ดังที่ซาอูล ดังที่เจ้าได้ศึกษาอยู่ แล้วเจ้าพิจารณาไหมว่า ทำไมเมื่อเราแต่งตั้งและเจิมซาอูล ดาวิดเราก็แต่งตั้งและเจิมลูกเอ๋ย แต่ทำไมดาวิดเมื่อทำผิดกับเราหลายครั้งหลายหน ทำไมเราไม่ถอดลงเหมือนซาอูลลูกเอ๋ย นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันให้เจ้าเห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้ใดก็ตามถ้าเราส่งถ้อยคำและพันธสัญญาและเรากระทำพันธสัญญาด้วย เราจะไม่ถอนในสิ่งเหล่านั้น

เพราะเราเป็นพระเจ้าผู้รักษาคำพูดทั้งสิ้นคำตรัสของเราทั้งสิ้นจึงเป็นสัจจะวาจาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย ซาอูลเป็นเพียงผู้ที่เราเจิมและแต่งตั้ง แต่เรามิได้กระทำพันธสัญญาหนึ่งใดกับซาอูลลูกเอ๋ย เจ้าจงเห็นในข้อแตกต่างในสิ่งเหล่านี้ และชีวิตของพวกเจ้าทั้งหลายทุกคน เจ้าก็มีพันธสัญญาของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นเราจึงบอกพวกเจ้าทั้งหลายเสมอว่า เจ้านั้นได้เปรียบ มีข้อได้เปรียบอย่างมากมายกว่าบรรพบุรุษของเจ้าในหลายๆคนในอดีตกาลโบราณลูกเอ๋ย เพราะเจ้าได้ยืนอยู่บนพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าได้ทำพันธสัญญากับเจ้าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า ชีวิตของพวกเจ้าแม้เจ้าจะล้มพลาดและผิดพลาดในสายพระเนตรของเรา แต่ถ้าเจ้าหันกลับและกลับใจเสมอ พระเจ้าจะพิทักษ์รักษาและจะคุ้มครองเจ้าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าการที่พระเจ้าทำพันธสัญญากับผู้หนึ่งผู้ใดนั้น มีความหมายและยิ่งใหญ่นักลูกเอ๋ย พิจารณาในสิ่งเหล่านี้ให้ดี และชีวิตของเจ้าจะจำเริญและเกิดผล แต่มิใช่ว่าเจ้าเย่อหยิ่งอยู่เสมอว่า เมื่อตนเองมีพันธสัญญาร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะทำตามชอบใจของตนเอง นั่นก็คือสิ่งไม่ถูกต้องเช่นเดียวกันลูกเอ๋ย เราบอกแล้วว่าทุกคนที่กระทำผิด พระเจ้าจะต้องตีสั่งสอน เพราะฉะนั้น เจ้าเองรู้ดีว่าการตีสั่งนั้นเป็นเช่นไรลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าจะต้องการให้ชีวิตของเจ้านั้นอยู่บนพระสัญญาของพระเจ้าอย่างมั่นคง ก็จงดำรงในทุกสิ่งที่เราบอกกล่าวและสั่งสอนเจ้าตลอดวันเวลาเถิดลูกเอ๋ย และเจ้าจะไม่มีคำว่าล้มลง เพราะทุกครั้งที่เจ้าสะดุดจะล้ม พระเจ้าจะพยุงเจ้าไว้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย พิจารณาถึงหลักเกณฑ์เหล่านี้ให้ชัดเจนลูกเอ๋ย เป็นการดีถ้าเจ้าทั้งหลายนั้นใฝ่หาในเรื่องฝ่ายพระวิญญาณลูกเอ๋ย เพราะสิ่งเหล่านี้นั้น เป็นชีวิตของพวกเจ้าอย่างแท้จริงลูกเอ๋ย เพราะเราบอกแล้วว่า ร่างกายของเจ้าเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้นลูกเอ๋ยของกายแท้ของเจ้า เจ้าจะต้องรักษากายแท้ของเจ้าให้มีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า การที่เจ้าจะศึกษาแสวงหาเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำในสิ่งเหล่านี้ตลอดวันเวลาแล้วเจ้าจะพบเราลูกเอ๋ย เรายืนยันว่าผู้ใดแสวงหาเราด้วยจิตวิญญาณและความจริง ผู้นั้นจะพบเราลูกเอ๋ย เหมือนดังวาระนี้แหละลูกเอ๋ย คือการศึกษาและค้นคว้าหาเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ในฝ่ายวิญญาณ เจ้าไม่ได้ศึกษาในสิ่งที่เป็นทางโลกหรือในยุคปัจจุบันลูกเอ๋ย แต่เจ้ากำลังพิจารณาถึงสิ่งที่พระเจ้ากระทำแล้วในอดีตเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตในปัจจุบันลูกเอ๋ย นี่แหละคือการแสวงหาในฝ่ายจิตวิญญาณขั้นหนึ่งลูกเอ๋ย นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องในน้ำพระทัยและในสายพระเนตรของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงสั่งสอนเจ้าให้เจ้าได้รู้จัก ให้เจ้าได้รู้ถึงขั้นตอน ให้เจ้าได้รู้ถึงวิธีการของพระเจ้าอย่างแท้จริงลูกเอ๋ย วิญญาณชั่วก็เช่นเดียวกัน เราสั่งสอนเจ้าในบทเรียนของเจ้าในวันนี้ลูกเอ๋ย ที่เจ้าได้เห็นคำว่าซามูเอลในวิญญาณชั่วนั้น ขึ้นมาจากพื้นดินลูกเอ๋ย ถ้าเป็นวิญญาณหรือสิ่งที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เราหมายถึงบรรดาทูตสวรรค์ จะไม่มีคำว่าขึ้นมาจากพื้นดินลูกเอ๋ย ทั้งสิ้นจะต้องลงมาจากสวรรค์ลูกเอ๋ย แต่บรรดาผู้รับใช้ของเราที่ล่วงลับไปแล้วนั้น จะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดกลับมาอีกเลยลูกเอ๋ย เพราะวาระพิเศษเท่านั้นจริงๆ เฉพาะองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นจริงๆลูกเอ๋ย แต่บรรดาผู้ที่ลงมาและขึ้นไปนั้นมีอยู่อย่างเดียวคือทูตของพระเจ้า ทูตสวรรค์ที่เจ้าทั้งหลายได้เรียกนั่นแหละ บรรดาบุคคลเหล่านี้ บรรดาทูตสวรรค์เหล่านี้ คือผู้ที่จะต้องจัดเตรียมทุกอย่างให้กับเจ้า ช่วยเหลือเจ้า คุ้มครองเจ้าลูกเอ๋ย เพราะเป็นหน้าที่ของเขาแต่ละคนที่จะต้องกระทำในสิ่งเหล่านี้

บทที่ 2 อูริมและทูมมิม

สืบเนื่องจากในบทที่ มีคำว่า อูริม (1 ซมอ 28:6) คำว่า "อูริม" ปรากฏ 2 แห่งในพระคัมภีร์ ส่วนคำว่า "อูริมและทูมมิม" (Urim and Thummim) ปรากฎ 5 แห่ง (อพย 28:30 , ลนต 8:8 , กดว 27:21 , ฉธบ 33:8 , 1 ซมอ 28:6 , อสร 2.63 , นหม 7:65)

เมื่อข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากข้อพระคำทั้ง 7 แห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถได้ความรู้ที่แน่นอนชัดเจนได้เลย รวมทั้งได้ค้นคว้าจาก The Dake Bible King James Version ก็ไม่สามารถได้รับคำตอบในสิ่งที่ไม่เข้าใจ รวมทั้งได้ศึกษาข้อพระคำอื่นๆที่ The Dake ได้อ้างว่า เกี่ยวข้องกัน เช่น คำว่า lots หรือ สลาก หรือคำอื่นๆ

ในวันที่ 19 ธันวาคม 1994 เวลาเช้า ข้าพเจ้าจึงนั่งลงกับคุณอัจฉรีย์ หันหน้าเข้าหากัน คุณอัจฉรีย์ไม่มีความรู้เรื่องอูริมมาก่อนเลย แถมออกเสียงคำว่าอูริมกับทูมมิม ยังเพี้ยน ที่จริงเราตั้งใจทูลถามพระเจ้าเรื่อง "เราควรจะทำอย่างไรต่อไป ในเรื่องงานของเรา" พระเจ้าเผยพระวจนะผ่านคุณฉัจฉรีย์ว่า ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ เดี๋ยวดีเอง ไม่ได้ตรัสคำอย่างนี้ แต่ทำนองอย่างนี้ คำถามที่ 2 ที่ข้าพเจ้าเริ่มทูลถาม ข้าพเจ้าถามเรื่องอูริมและทูมมิม ข้าพเจ้าเริ่มทูลบรรยายว่า

อูริมและทูมมิมนั้น ได้เริ่มกล่าวในพระคัมภีร์ ตอนที่โมเสสแต่งตัวให้อาโรนอยู่ๆพระคำก็บอกว่า โมเสสเอาอูริมและทูมมิม มาใส่ที่กระเป๋าสี่เหลี่ยมที่ห้อยอยู่ที่หน้าอกของอาโรน แล้วอาโรนก็ใช้สิ่งนี้ วินิจฉัยคนอิสราเอล รู้แต่ว่าเป็นหินที่มีค่าและจะอยู่ที่หัวใจอาโรนตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้บรรยายไปอีกหน่อยเดียว ขณะนั้นข้าพเจ้าหลับอธิษฐานอยู่ คุณอัจฉรีย์ ก็เอามือสะกิดที่เข่าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เริ่มกล่าวว่า อธิษฐานกราบทูลในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน คุณอัจฉรีย์พูดกับข้าพเจ้าว่า พระเจ้าตรัสบอกว่า ไม่ต้องบรรยายมาก เดี๋ยวพระเจ้าตรัสตอบแล้วจะไม่ได้แสดงความยิ่งใหญ่ ต่อจากนั้นคุณอัจฉรีย์ก็เผยพระวจนะดังนี้

จันทร์ 19/12/ 1994 10:40 น. คำเผยพระวจนะโดยคุณอัจฉรีย์

[ทูลถามเรื่องอูริมและทูมมิม]

ลูกเอ๋ย เราบอกความจริงให้เจ้าอีกเรื่องหนึ่งว่า ถ้าเจ้าจะทูลถามเราในสิ่งที่พูดอย่างตรงไปตรงมา เจ้าไม่ต้องอธิบายในสิ่งใดที่ชัดเจนลูกเอ๋ย เจ้าทูลถามมาเพียงชื่อหรือหัวข้อในข้อพระคัมภีร์เลยลูกเอ๋ย และเจ้าจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเราที่ เราสำแดงให้กับเจ้า พระเจ้าจะตอบสิ่งใดกับเจ้า เจ้าไม่ต้องอธิบายลูกเอ๋ย เราบอก ความจริงให้เจ้ารู้ว่า อูริมและมูมมิมนั้นจะเปรียบเทียบกับยุคในสมัยนี้ ก็เหมือนอัญมณีที่มีค่า อูริมและทูมมิมนั้น มันเป็นเหมือนเครื่องเสี่ยงทาย เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า พระเจ้าปฏิเสธหรือยอมรับ หรือสิ่งนี้มาจากพระเจ้าหรือไม่ใช่พระเจ้า อูริมและทูมมิมนี้จะใช้ถึงขั้นบรรดาปุโรหิต ที่ทำพิธีอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราลูกเอ๋ย สืบเนื่องมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ก็คืออาโรนและโมเสสนั้นแหละลูกเอ๋ย และตกทอดกันมาเรื่อย ยึดกันมาเรื่อยในชนชาติของเรา คือชนชาติยิวหรือชนชาติ อิสราเอล ลูกเอ๋ย อูริมและทูมมิมนั้น ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนการจับฉลากตามที่เจ้าได้เรียก แต่จริงๆแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เรียกตรงๆก็คือ เครื่องเสี่ยงทายเฉพาะพระพักตร์ของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้มนุษย์เกิดความแน่ใจว่า สิ่งนี้เขาสมควรที่จะกระทำหรือไม่ ไม่ถูกต้องเช่นใด อูริมคือข้อปฏิเสธ และทูมมิมคือข้อตอบรับ ลูกเอ๋ย สองอันนี้คืออัญมณีที่มีค่า แต่พระเจ้าจะสามารถสำแดงได้ก็คือ ถ้าสิ่งหนึ่ง เป็นความจริง ทูมมิมจะส่งประกายที่มีแสงสว่างออกมาลูกเอ๋ย ให้เขาเห็นอย่างชัดเจน ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ความจริงหรือไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยอมรับ ทูมมิมก็จะไม่ส่องแสงใดๆ ลูกเอ๋ย เหล่านี้แหละเจ้าจะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น คือสิ่งที่เป็นเครื่องที่จะให้มนุษย์ ในจิตวิญญาณของเขาได้รู้ว่า มาจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย และ มนุษย์ในยุคปัจจุบัน ก็เอามาใช่ล่อลวง คือวิญญาณชั่วฝ่ายตรงข้ามของเจ้า ก็เอามาใช้ ดังที่เจ้าได้เห็นตามศาลเจ้านั่นแหละลูกเอ๋ย ลักษณะจะเป็นอย่างนั้นลูกเอ๋ย มันจะเป็นคู่ที่ประกบกัน แล้วก็หงายแล้วก็คว่ำ ที่เจ้าเองก็เคยเห็นว่า นั่นคือการ ถามว่า ใช่หรือไม่ใช่ ลูกเอ๋ย ลักษณะนั้นก็ได้ขโมยมาจากเรา เพื่อให้มาทูลถาม ในสิ่งเหล่านั้นกับบรรดาคนต่างๆ ที่จะถามกับมันว่า มันคือจ้าวลูกเอ๋ย แต่สิ่งเหล่านั้นคือเล่ห์และกลอุบายทั้งสิ้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันขโมยไปจากเรา ไม่ว่าจะ เป็นกฎเกณฑ์เล็กๆน้อยๆใดๆ ถ้อยคำเล็กๆน้อยๆใดๆของเรา ที่มันเอาไปผสม ผสานแล้วก็เพื่อจะสั่งสอนให้บรรดาบุคคลต่างๆได้หลงผิดและเดินตาม ลูกเอ๋ย แต่ของเรา เราองค์พระผู้เป็นเจ้า เราคือเจ้าของที่เที่ยงแท้และแท้จริงและทุกสรรพสิ่ง ของเราที่ดำเนินมานั้น เป็นแผนการทั้งสิ้น ของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะกำหนดให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ถึงแผนการที่จะเดิน ทั้งๆที่มนุษย์รู้ว่า เขาไม่มีความสามารถที่จะเดินในทางที่เราองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสและทรงเรียกได้ลูกเอ๋ย เหมือนดัง เช่นเจ้า ในยุคนี้ก็เช่นเดียวกันลูกเอ๋ย เจ้าจึงเห็นว่า บรรดาผู้เผยพระวจนะของเรานั้น มีสิ่งที่ผิดแปลกจากบรรดาผู้เผยพระวจนะในครั้งก่อนในอดีตกาล เพราะเขาเหล่านั้นในอดีตกาลนั้น คำว่าของประทานของพระเจ้าลูกเอ๋ย เขาไม่มีอย่างครบถ้วนอย่างในยุคนี้ ที่เราพระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น เรานำของประทานทั้งสิ้นอย่างครบถ้วน มาสู่บรรดาบุตรของเราทุกคน ผู้มีความขวนขวาย ความฝึกฝนและความแสวงหาลูกเอ๋ย จงรู้เถิดว่าทุกถ้อยคำของเจ้าที่เจ้าได้ยินในเวลานี้ คือคำตรัสของเราที่มาจากพระโอษฐ์ของเราเอง จากพระเยซู คริสต์เจ้าของเจ้าลูกเอ๋ย เรามาจากที่สูงและไกล เราตรัสมาหาเจ้าที่สูงและไกลมากลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า อูริมและทูมมิมคืออัญมณีที่มีค่า ลูกเอ๋ย ถ้าจะเปรียบกับในยุคนี้แล้วหาค่าไม่ได้เลย ลูกเอ๋ย แพงกว่าอัญมณีทั้งสิ้นในผืนพิภพนี้ลูกเอ๋ย ทั้งมีราคาและตีราคา เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า ทั้งสองสิ่งนี้ สามารถส่องแสงได้ สำแดงออกถึงความหมายในตัวของมันได้ว่า อูริมคือการ ปฏิเสธ แต่ทูมมิมคือการตอบรับในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ให้เจ้าเข้าใจในวาระเหล่านี้เถิด ลูกเอ๋ย เพราะอดีตบรรพบุรุษของเจ้า เขาต้องยึดเหนี่ยวในสิ่งที่รู้อย่างชัดเจน พระเจ้าตรัสกับเขาอย่างจริงอย่างจัง แต่เขาก็ยังหาเชื่อในสิ่งเหล่านี้ไม่ เราพระเจ้าจึงต้องส่งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้เขาได้เข้าใจและได้รู้ในจิตวิญญาณ ของเรา แต่ที่ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงจางหายไป ก็เพราะความไม่สัตย์ซื่อของมนุษย์ ความไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดาปุโรหิตทั้งหลายลูกเอ๋ย สิ่งเหล่านี้จึง เสื่อมสลายไปในที่สุดลูกเอ๋ย เพราะการที่เขาทั้งหลายไม่ยอมรับในเรา และการที่เขาทั้งหลายได้ทำลายเรา ทำลายพระชนม์ชีพของเรา เขาตรึงเราที่ไม้กางเขน เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้ยินได้ฟัง ที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์จึงจางหาย ไปในที่สุดลูกเอ๋ย นี่แหละคือความจริงที่เราตรัสกับเจ้าในเวลานี้ลูกเอ๋ยและจงรู้เถิด ว่าบัดนี้เจ้าทั้งหลายนั้น ไม่ต้องแสวงหาในทั้งอูริมและทูมมิมลูกเอ๋ย เพราะเจ้ามีเราพระเยซูคริสต์เจ้าของเจ้าอยู่กับเจ้า เราอยู่กับเจ้าลูกเอ๋ย เวลานี้เราอยู่กับเจ้า เราสามารถที่จะตรัสทุกสิ่งให้เจ้าได้ยินได้ฟังลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าปรารถนาด้วยความเต็มจิตวิญญาณของเจ้า และกล้าหาญที่จะกระทำการทุกอย่างที่เราตรัสกับเข้าลูกเอ๋ย เราตรัสกับเจ้าอยู่ในเวลานี้ เราตรัสกับเจ้าอยู่ในเวลานี้ ลูกเอ๋ย เรารู้ว่าเจ้าปรารถนาและแสวงหาในสิ่งดีจากเรา ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น เจ้าจะไม่ผิดหวังในสิ่งใดๆเลย ลูกเอ๋ย

[อธิษฐานในเวลานั้นทันที ขอการยืนยันเรื่องอูริมและทูมมิมอันไหนส่องแสงการปฏิเสธและการยอมรับ ของทั้งสองอย่างยังมีอยู่บนโลกนี้หรือไม่]

ลูกเอ๋ย เราบอกกับเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่ชัดเจน เราจะตรัสกับเจ้าอย่างชัดเจน ลูกเอ๋ย ถ้ามีการปฏิเสธ อูริมจะส่องแสง ลูกเอ๋ย แต่ถ้ามีการตอบรับ ทูมมิมจะส่องแสง ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น สองสิ่งนี้ เจ้าต้องชัดเจนแล้วในจิตวิญญาณของเจ้าในเวลาเหล่านี้ลูกเอ๋ย และสิ่งเหล่านี้นั้น เราองค์พระผู้เป็นเจ้า บอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ได้เป็น ถ้าจะเปรียบเทียบให้เจ้ารู้และเข้าใจนั้น มันยังมีอยู่ แน่นอนบนพื้นพิภพลูกนี้ ลูกเอ๋ย แต่มันดำเนินอยู่ในฝ่ายวิญญาณแล้วในเวลาเหล่านี้ เหมือนดังตั้งแต่วันที่เราองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ถูกตรึงนั่นแหละ ลูกเอ๋ยทุก สิ่งทุกอย่างจะไปกับเราด้วยพระวิญญาณของเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังดำรงอยู่ จำเป็นต้องใช้ในสิ่งเหล่านี้แล้วลูกเอ๋ย การที่เราบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ทั้งอูริม และทูมมิมยังอยู่บนพื้นพิภพโลกนี้นั้น คือเจ้าสามารถ ถ้าเจ้ามีตาวิญญาณ เจ้าอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ ทูลขอกับเรา เจ้าจะมองเห็นในสิ่งเหล่านี้ ลูกเอ๋ย เพราะทุกสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทรงเรียกคืนแล้วลูกเอ๋ย ตั้งแต่วันที่เราเสด็จขึ้นสู่สวรรค์หาพระบิดานั้นแหละลูกเอ๋ย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงใช้มาแทนเราทั้งสิ้นนั้น ก็ได้ปราศ นาจารไปหมด แต่ยังอยู่ลูกเอ๋ย ในฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ยังครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนเราองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยังอยู่กับเจ้าอย่างครบถ้วนและบริบูรณ์ ตลอดวันเวลานี้ลูกเอ๋ย เพราะเราเป็นผู้ที่แทนทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความล้ำลึกเป็นความจริงทั้งปวงขององค์พระบิดาเจ้า เราเป็นผู้นั้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นวาระต่างๆที่พระองค์ทรงใช้ ที่พระองค์ทรงกำหนดให้กับบรรพบุรุษของเจ้านั้น จึงไม่มีสิ่งจำเป็นอีกต่อไปลูกเอ๋ย แด่หาใช่การลบล้างธรรมบัญญัติ หรือถ้อยคำใดๆของพระ บิดาเจ้าที่ทรงตรัสมาตั้งแต่อดีตนั้น จะลบล้างหาใช่ไม่ลูกเอ๋ย แต่เรามาเพื่อทำทุกอย่างนั้น ให้สมบูรณ์และครบบริบูรณ์ลูกเอ๋ย โดยไม่ต้องพึ่งพาโดยวัตถุหนึ่งวัตถุใด หรือมือมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ลูกเอ๋ย เราเป็นตัวแทนของหีบพันธสัญญาของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาเจ้า เราเป็นตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นของมนุษย์ลูกเอ๋ย เรานำพาทั้งพระสัญญาทั้งสิ้นอย่างบริบูรณ์ครบถ้วน ก็อยู่ในเราทั้งสิ้น เราจึงบอกกับเจ้าเสมอว่า เราเป็นซึ่งเราเป็นลูกเอ๋ย นี่แหละคือวิถีทางที่เรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์เจ้าของเจ้า ต้องดำเนินมาบนแผ่นดินโลกนี้ เพราะเราต้องมาทำทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยตัวของเราเองบนแผ่นดินโลกนี้ เพราะฉะนั้น ที่เจ้าทูลถามกับเราในเวลานี้ จงรู้เถิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น อยู่ในตัวของเรา อยู่ในเราเอง ลูกเอ๋ย

[ทูลถามว่า ส่องแสงสีอะไร]

ลูกเอ๋ย การส่องแสงของอูริมและทูมมิมนั้น มันไม่ได้แตกต่างไปจากกัน ลูกเอ๋ย แต่การส่องแสงที่บ่งบอกออกมานั้น มันเป็นลักษณะของแสงสว่าง ลูกเอ๋ย ไม่ใช่แสงที่จะอวดรัศมีหรือสีสวยสดงดงามใดๆ ในตัวของอัญมณี และเหล่านี้มันก็คือ ตัวบ่งบอกว่า มันเล็งถึงเราแล้วลูกเอ๋ย ตั้งแต่อดีตนั้น มนุษย์ในยุคโบราณคือบรรพบุรุษของเจ้า ไม่มีพระเยซุคริสต์เจ้า พระบิดาก็โปรดประทานทุกอย่าง เพื่อจะให้ เป็นลื่อความหมายที่บ่งบอกถึงเราองค์พระผู้เป็นจ้ามาโดยตลอด ลูกเอ๋ย เพื่อให้เขาได้รู้และได้ตัดสินใจ และเดินได้อย่างถูกต้องของเจ้าแล้ว ลูกเอ๋ย นั่นก็คือเราองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราบอกกับเจ้าแล้วว่า เหล่านี้เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้สิ่งเหล่านั้นได้อยู่ในฝ่ายพระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย อยู่ในตัวของเราพระเยซูคริสต์เจ้าของเจ้า ลูกเอ๋ย เพราะ ฉะนั้น ถ้าเจ้าต้องการที่จะเห็นรูปร่างลักษณะของอูริมและทูมมิมนั้น ลูกเอ๋ย เจ้าจงรู้เถิดว่า นั่นมันเป็นเพียงในฝ่ายนิมิตและในฝ่ายที่เจ้าจะมองไม่เห็นด้วยตา และ สามารถที่จะระลึกและมองได้ลูกเอ๋ย นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ ถ้าเจ้าฝึกฝนและขวนขวาย และแสวงหา แต่ถ้าเรื่องจริงแล้วอูริมและทุมมิมนั้น ก็อยู่ในเราแล้วทั้งสิ้น และเราก็อยู่ในเจ้าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทั้งสองสิ่งเหล่านี้ อยู่ใน ชีวิตและจิตวิญญาณของเจ้า อย่างครบถ้วนแล้วลูกเอ๋ย ทั้งอูริมและทูมมิมอยู่ในตัวของเจ้า แล้วลูกเอ๋ย

จบในคำเผยพระวจนะในเช้าวันนั้น ถ้อยคำนั้นชัดเจน เกินกว่าที่ข้าพเจ้าเอง จะนำมาอธิบายให้ท่านได้ อ่านเองก็แล้วกัน ปัญหาของท่านก็คือ ท่านจะถามว่านี่มาจากพระเจ้าจริงหรือ เมื่อข้าพเจ้าฟังคำเผยพระวจนะจบลง ข้าพเจ้ารู้ว่า ถ้อยคำทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าแน่นอน พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องการส่องแสงเลย ทั้งอูริมและทูมมิม และก็ไม่ได้ บอกด้วยว่า มีกี่อัน ไม่ได้บอกว่า อันไหนตอบรับ อันไหนปฏิเสธ เจ้าตัวผู้เผยฯ แสดงอาการตกใจไหม ไม่เลย เจ้าตัวรู้แน่ชัดว่า สิ่งที่เขาพูดมาจากพระเจ้าเสมอมา และเขา(ผู้เผยฯ)ไม่สามารถพูดข้อความเหล่านี้ออกมาได้ โดยสติปัญญาของเขาเอง สำหรับตัวข้าพเจ้าเชื่อมั่นมาจากพระเจ้า เพราะคำว่า อูริม (Urim) ในภาษา ฮีบรู แปลตามตัวอักษร แปลว่า แสง,ส่องสว่าง,เปลว,ไฟ ส่วนคำว่า "ทูมมิม" (Thummim) ในภาษาฮีบรู แปลตามตัวอักษรได้ว่า บริบูรณ์, สมบูรณ์, ความจริง ไม่มีใครคาดคิดว่า คำว่าอูริม ถูกวางไว้ข้างหน้าคำว่า ทูมมิม จะหมายถึงการ ปฏิเสธ ถ้าความคิดมนุษย์จะต้องบอกว่า อูริมคือถูก ทูมมิมคือผิด

ในวันศุกร์ ประชุมเซลล์ถัดมา ข้าพเจ้าได้สอนพี่น้องของข้าพเจ้า เรื่องคนทรง และอูริม สุดท้ายข้าพเจ้าอ่านคำเผยพระวจนะข้างต้นให้พวกเขาฟัง ก่อนจบการ ประชุม เราอธิษฐานต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าก็ทูลถามเรื่องอูริมและทูมมิมอีกว่า ทั้งสองแสงแสงสว่าง เป็นแสงไม่มีสี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเป็นอันไหน ทั้งสองมีรูปร่างอย่างไร คำตอบจากคำเผยพระวจนะ จากคนเผยเดิม คือ ตัวอูริม สีขุ่น ทูมมิน มีสีใส ลักษณะเป็นคล้ายเสี้ยวทรงกลม เหมือนเราฝานมะนาว ประกอบกันได้ ดูคำเผยฯ ข้างล่าง

ศุกร์ 30-12-94 22:30 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

______________________________พระเจ้าของเจ้าอยู่ใกล้เจ้าตลอดเวลา ทุกถ้อยคำของเจ้าเราได้ยิน ทุกการกระทำของเจ้าเรามองเห็นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น จงรู้เถิดว่า แม้แต่ความสงสัยของเจ้า ที่เจ้าอยากจะรู้ว่า อูริมและทูมมิมนั้นรูปร่าง ลักษณะเป็นเช่นไร เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า อูริมและทูมมิมนั้น ทั้งสองอันนั้น มาประกบกันจะเหมือนกับรูปวงกลมเป็นกลม ลักษณะที่เจ้าเคยเห็นว่าลักษณะทรงกลมนั้นแหละลูกเอ๋ย แต่ถ้าแบ่งแยกออกจากกัน จะเป็นลักษณะของครึ่งวงกลม ลูกเอ๋ย ถ้านำมาปะกบกัน ก็จะเป็นรูปทรงกลม คือรูปวงกลมนั่นแหละลูกเอ๋ย พิจารณาในสิ่งเหล่านี้ และลักษณะนั้นจะไม่มีเหลี่ยม ไม่มีลักษณะใดเหมือนการ เจียระไนด้วยมือมนุษย์ลูกเอ๋ย ทั้งสิ้นจะเป็นหินธรรมชาติ เหมือนหินธรรมชาติ ลักษณะจะเกลี้ยงกลมแหละลูกเอ๋ย เป็นลักษณะเช่นนั้นลูกเอ๋ย สีสันใดๆก็ไม่มี ในการที่จะบ่งบอกถึงความสวยสดงดงาม ถ้ามองดูแล้วในสายตามนุษย์ ก็แทบจะมองไม่เห็นเลยว่า มันมีค่ามากมายลูกเอ๋ย แต่เมื่อมันทำการทำฤทธิ์เดชออกมา มนุษย์ถึงจะมองเห็นถึงคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของอัญมณีตัวนี้ลูกเอ๋ย

อูริมนั้นจะเป็นลักษณะที่ไม่ได้โปร่งใส แต่สำหรับทูมมิมนั้น จะมองแล้วเหมือนโปร่งใสลูกเอ๋ย ลักษณะของอูริม ถ้าเปรียบกับสายตาของมนุษย์ ก็จะมองเห็นว่า มันมีความทึบนั่นแหละลูกเอ๋ย ลักษณะมันจะเป็นเช่นนี้ลูกเอ๋ย แต่เมื่อเวลามันส่องแสงออกมา ลักษณะของแสงนั้น จะเหมือนกันดังกับว่ามันมาจากแสงจากที่อันเดียวกับลูกเอ๋ย ลักษณะของแสงนั้น ดังที่เราได้บอกกับเจ้าแล้วว่า มันเป็นแสงของความสว่างลูกเอ๋ย ถึงแม้ว่าในอัญมณีทั้งสองตัวนี้ จะมีลักษณะคุณสมบัติรูปลักษณ์นั้น มองด้วยสายตาภายนอกนั้นแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่น่าอัศจรรย์ คือ แสงที่ส่องมานั้นจะเหมือนกันทั้งสิ้น ลูกเอ๋ย (จบคำเผยฯ)

ในวันที่ 11 มกราคม 1995 ข้าพเจ้าทูลถามเรื่องนี้อีก คราวนี้ทูลถามว่า มีกี่ คู่ คู่เดียวหรือหลายคู่ และพระเจ้าเป็นผู้สร้างหรือมนุษย์สร้าง

พุธ 11/1/95 14:00 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

[ทูลถามว่า อูริมกับทูมมิม มีคู่เดียวหรือหลายคู่ อย่างไร และทูลถามเรื่อง เอลียาห์ หนีไปภูเขาโฮเรบ แล้วพระเจ้าสำแดงลมพังหิน และแผ่นดินไหว และไฟ แต่พระ เจ้าไม่อยู่ในทั้งสามอย่างนั้น แล้วมีเสียงเบาๆตรัสกับเขา ทั้งสามสิ่งพระองค์ สำแดงหมายความว่าอะไร เพื่ออะไร]

ลูกเอ๋ย นับตั้งแต่โมเสส และอาโรนคือผู้ที่ได้ใช้สิ่งนี้ แต่หลายครั้งหลายยุคสืบเนื่องกันต่อๆมานั้น แต่ละคนกระทำขึ้นเป็นลักษณะที่ลอกเลียนแบบ และก็เอาพกติดตัวไว้ประจำตำแหน่งของแต่ละคน ซึ่งในจิตวิญญาณของเขาก็เชื่อมั่นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของคู่กับตัวของปุโรหิตทุกคนที่ทำหน้าที่ถวายเครื่องเผาบูชาเครื่อง สักการบูชาและทำหน้าที่ร้องเรียนต่างๆแทนบรรดาประชาชน เขาจะต้องมีเครื่องหมายเหล่านี้ ประจำตัวของเขา ___________(เทปเสีย) พระเจ้าสร้างให้เพียงคู่เดียวเท่านั้น คือครั้งสมัยที่โมเสสและอาโรนได้ทำหน้าที่หน้าที่เหล่านี้ ______ ว่าสิ่งที่เราตรัสบอกกับเจ้าในเวลานี้นั้น เป็น ความจริง และสิ่งที่สำคัญ มันไม่ได้สำคัญอยู่ตรงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นจำเป็นจะต้องมีกี่คู่ หรือกี่จำนวนลูกเอ๋ย จิต วิญญาณต่างหากที่สำคัญ สำคัญกว่าอูริมและทูมมิมนั้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพิจารณาและใคร่ครวญในสิ่งเหล่านี้ จิตวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวในพระเจ้า สำคัญกว่าสิ่งทั้งสองนี้ที่เจ้าได้พูดถึงมาในเวลานี้ลูกเอ๋ย เพราะจิตวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่าทั้งสองสิ่งนี้ และจิตวิญญาณนั้นสามารถบ่งทางถึงการสู่ถึงพระเจ้า ถึง การอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแม่นยำและชัดเจนกว่าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงเชื่อในเวลาเหล่านี้เถิดว่า พระเจ้าของเจ้าสถิตอยู่กับเจ้า เจ้าเองก็ ไม่ต้องแสวงหาในสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปลูกเอ๋ย เพราะเจ้ามีเราอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เราเป็นทุกสรรพสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญญลักษณะและเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึง ลักษณะของพระเจ้าที่ถูกต้องและชัดเจนอยู่ในตัวของเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงใคร่ครวญและพิจารณาในสิ่งเหล่านี้เถิด ( คำเผยยังมีต่ออีกยาวมาก แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก )

จากความรู้เรื่องอูริมและทูมมิมนี้ สามารถนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ที่บางครั้ง เราไม่เข้าใจในพระคัมภีร์ได้ ข้าพเจ้าจะยกมากล่าวแค่ 2 เหตุการณ์ ส่วนเหตุการณ์อื่นอีกมาก ท่านลองศึกษาเองดูบ้าง

1 ซมอ 10:17-21 "๑๗. ฝ่ายซามูเอลจึงเรียกประชาชนมาประชุมต่อพระเจ้าที่มิสปาห์ ๑๘. และท่านกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า' ๑๙. แต่วันนี้ ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่าน ผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากความยากลำบาก และความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า 'เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา' เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้าพระเจ้า ตามเผ่าของท่าน และตามตระกูลของท่าน" ๒๐. แล้วซามูเอลก็นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน ๒๑. ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ"

พระคำตอนนี้อ่านแล้ว เหมือนกับว่า ใช้ฉลาก 12 อัน และใช้ฉลากอีกหลายอัน เหตุการณ์เรื่องฉลากในพระคัมภีร์ ซามูเอลกำลัง เลือกกษัตริย์( คือซาอูล ) โดยให้ 12 เผ่า เข้ามาใกล้ เลือกได้เผ่าเบนยามิน ใน เผ่าเบนยามินก็ประกอบไปด้วยหลายตระกูล แต่เลือกได้ ตระกูลมัตรี จากตระกูลมัตรี ก็เลือกได้ซาอูล ทำไมซามูเอลไม่บอกคนอิสราเอลทั้ง 12 เผ่า ว่าพระเจ้าตรัสกับเขาว่า ให้ซาอูลเป็นกษัตริย์ ก็หมดเรื่อง อีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ซามูเอลได้พบกับซาอูลแล้ว และได้บอกกับซาอูลแล้วว่า พระเจ้าทรงเลือกให้เขาเป็นกษัตริย์ ถ้าท่านย้อนอ่านกลับไปจะพบว่า พระเจ้าตรัสกับซามูเอลด้วยเสียง ได้ยินจากภายนอก ไม่ได้ตรัสจากภายใน ไม่ใช่พยานภายใน (inward witness) ไม่ใช่เสียงแผ่วเบา (a still small voice) ซามูเอลนั้นรู้จักและเข้าใจ และคุ้นเคยกับพระเจ้าเป็นอย่างดี อะไรทำให้ซามู เอลวางใจขนาดเรียกอิสราเอล 12 เผ่า มาจับฉลาก ถ้าเกิดพลาดไป มิเสียการงานของพระเจ้าหรือ

นอกจากว่า ซามูเอลมีอูริมและทูมมิมของแท้อยู่ในมือ และเขาเคยใช้อยู่เป็นประจำ และส่องแสง ให้รู้ถูกหรือผิด ไม่ใช่การจับอูริมหรือทูมมิมขึ้นมาอันใดอันหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นหัวหรือก้อย และการเรียกอิสราเอล 12 เผ่า มาเพื่อดูการทรงนำของพระเจ้าที่แท้จริง เพื่อจะบอกว่า เราไม่ได้โกหกพวกท่านนะ เป็นการสำแดงความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่งด้วย ถึงแม้ซามูเอลจะพูดแค่ว่า ให้ซาอูลเป็นกษัตริย์ อิสราเอลทั้ง 12 เผ่า ก็ต้องเชื่อฟัง เพราะนับถือว่าซามูเอลเป็นคนของพระเจ้าอยู่แล้ว

เรื่องเหล่านี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ไม่ได้บันทึกไว้ว่าความเป็นมาอย่างไร จึงไม่แปลกที่พระคัมภีร์ตอนหลังนั้น ไม่ได้กล่าวชัดเจน

อีกเหตุการณ์หนึ่ง อยู่ไม่ห่างจากเหตุการณ์แรก คือ 1 ซมอ 14:24-46 ๒๔. และคนอิสราเอลต้องทุกข์ยากในวันนั้น เพราะซาอูลได้ทรงให้ประชาชนสาบานไว้ว่า "ถ้าผู้ใดรับประทานอาหารก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนเราแก้แค้นศัตรูแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง" เพราะฉะนั้นพวกพลจึงไม่รับประทานอาหารเลย ๒๕. และชาวแผ่นดินก็เข้ามาในป่า มีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นทุ่ง ๒๖. เมื่อประชาชนเข้าไปในป่านั้น ดูเถิด น้ำผึ้งก็กำลังย้อยอยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะเขากลัวคำสาบาน ๒๗. แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรงให้ประชาชนสาบานจึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปากตาก็แจ่มใสขึ้น ๒๘. มีชายคนหนึ่งเรียนว่า "พระราชบิดาของท่านบังคับให้พวกพลสาบานว่า 'ผู้ใดที่รับประทานอาหารในวันนี้ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง' " และพวกพลก็อ่อนเพลีย ๒๙. แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า "บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิ ว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไร เพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้ แต่เล็กน้อย ๓๐. ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรู ซึ่งเขาหามาได้อย่างอิ่มหนำ จะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็ไม่มากมายแล้ว" ๓๑. ในวันนั้น เขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจากมิคมาช ถึงอัยยาโลน และพวกพลก็อ่อนเพลียนัก ๓๒. และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะ และวัว และลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเอง และพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด ๓๓. แล้วเขาก็ไปทูลซาอูลว่า "ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเจ้า โดยรับประทานพร้อมกับเลือด" และซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้" ๓๔. และซาอูลตรัสว่า "ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพล และบอกเขาว่า 'ให้ทุกคนนำวัว หรือแกะของตัวมาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่ากระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด' " คืนนั้นทุกคนก็นำวัวมา และฆ่าเสียที่นั่น ๓๕. และซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นแท่นบูชาแท่นแรกซึ่งท่านสร้างถวายแด่พระเจ้า ๓๖. แล้วซาอูลรับสั่งว่า "ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้งกลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้า อย่าให้เหลือสักคนเดียวเลย" และเขาทั้งหลายตอบว่า "จงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด" แต่ปุโรหิตกล่าวว่า "ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด" ๓๗. และซาอูลก็ทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคนฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของอิสราเอลหรือ" แต่ในวันนั้นพระองค์มิได้ทรงตอบท่าน ๓๘. และซาอูลจึงตรัสว่า "มาที่นี่เถิด ท่านทั้งหลายที่เป็นประมุขของคนอิสราเอลพึงทราบ และเห็นว่าบาปนี้ได้เกิดขึ้นอย่างไรในวันนี้ ๓๙. เพราะว่า พระเจ้าผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ประชาชนนั้นตอบพระองค์ ๔๐. แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสราเอลทั้งปวง ว่า "พวกท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายหนึ่ง เรา และโยนาธานบุตรของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง" และประชาชนทูลซาอูลว่า "ขอจงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด" ๔๑. ดังนั้น ซาอูลจึงทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ว่า "ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก" ข้างฝ่ายโยนาธาน และซาอูลถูกฉลาก แต่ฝ่ายประชากรรอดไป ๔๒. แล้วซาอูลรับสั่งว่า "จับฉลากระหว่างเรากับบุตรของเรา" และโยนาธานถูกฉลาก ๔๓. แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า "เจ้าได้กระทำอะไรจงบอกเรามา" โยนาธานก็ทูลว่า "ข้าพระบาทได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้า ซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อยเท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย" ๔๔. และซาอูลตรัสว่า "ขอพระเจ้าทรงลงโทษ และยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตายแน่" ๔๕. แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า "โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล อย่าให้มีวี่แววอย่างนั้นเลย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า" ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ท่านจึงไม่ถึงตาย ๔๖. แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตียกลับไปยังที่อยู่ของตน

เหตุการณ์ย่อคือ ซาอูลออกคำสั่งโง่ๆว่า ไม่ได้ทหารคนใดกินอะไรจนกว่าจะถึงเวลาเย็นก่อนที่จะไล่ฆ่าศัตรูให้เสร็จ แต่โยนาธานบุตรของซาอูลเองไปรับประทานน้ำผึ้ง เพราะไม่ได้ยินคำสั่งของซาอูล และเพราะว่าโยนาธานไม่ได้อยู่ในกองทหารของซาอูลตอนนั้น ดังนั้นโยนาธานไม่ผิด ในวันนั้นซาอูลได้ทูลถามพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ตอบ (ในข้อที่ 37) ทำไมพระเจ้าไม่ตอบซาอูล เพราะว่าพระเจ้าไม่ โปรดซาอูลแล้ว แล้วพระเจ้าทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้นทำไม (ข้อ 23 ) พระเจ้าทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น เพราะเห็นแก่ความเชื่อของโยนาธาน ก่อนหน้านี้ กองทัพของซาอูลหลบอยู่ เพราะมีคนแค่ 600 คน สู้คนฟิลิสเดียเป็นแสนไม่ได้ โยนาธานจึงแอบออกไปที่ค่ายของฟีลิสเดียกับทหารอีกคนหนึ่ง เพื่อต่อสู้ ( อ่านตอนต้นบทที่ 14) โยนาธานได้กล่าวในข้อ 9,10 โดยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงมอบคนฟีลิสเดียไว้ในมือเราแล้ว จะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา คำว่า " สัญญาณ" นั้น คือหมายสำคัญ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า sign ในข้อ 15 พระเจ้าให้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้โยนาธานได้ชัยต่อคนฟีลิสเดีย ไม่เช่นนั้นโยนาธานไม่มี ทางต่อสู้คนฟีลิสเดียได้เลย แล้วพระคำถัดมาในข้อที่ 23 จึงกล่าวว่า "พระเจ้าทรงช่วยกู้อสราเอลในวันนั้น " ฉะนั้นเราเห็นว่า พระเจ้าทำการกับโยนาธาน ไม่ใช่ซาอูล แต่ซาอูลถือว่าโยนาธานกินน้ำผึ้ง ผิดคำสั่งต้องตาย แต่ประชาชนไม่ยอม เมื่อทูลถามพระเจ้า พระเจ้าไม่ตอบ ซาอูลจึงใช้หลักอูริมและทูมมิม ในพระคัมภีร์เขียนว่า ฉลาก ในข้อ 41 จับไปจับมา บอกว่าโยนาธานผิด ในข้อ 44 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ อธิบายได้ว่าฉลากหรืออูริมทูมมิม ที่อยู่ในมือของปุโรหิตของซาอูลนั้นปลอม ไม่ส่องแสง วันเสาร์ที่ 18-2-95 เวลากลางคืน ข้าพเจ้าขอให้คุณอัจฉรีย์ ทูลถามพระเจ้า เรื่องอูริมและทูมมิม ว่า อูริมและทูมมิมของแท้ ครั้งสุดท้ายอยู่ในมือของใคร ไม่ได้ ถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เพราะพระเจ้าตรัสแล้วว่า ไม่ต้องหา

ตอนเช้าวันอาทิตย์ 19-2-95 ก่อนที่จะไปโบสถ์ คุณอัจฉรีย์บอกข้าพเจ้าว่า ได้รับคำตอบแล้ว พระเจ้าตรัสบอกว่า ครั้งสุดท้ายอยู่ในมือของเอสรา ก่อนที่จะหายไป ครั้งนั้นพวกเขาพบในพระนิเวศของพระเจ้า สมัยนั้นตอนเนหะมีย์ชำระพระวิหาร รวมทั้งขับไล่พวกพ่อค้าออกไปจากพระวิหาร เอสราเป็นหหาปุโรหิต และ ธรรมาจารย์ ส่วนเนหะมีย์เป็นธรรมาจารย์อย่างเดียว เอสราเป็นเชื้อสายมาจากอาโรน ส่วนเนหะมีย์ เป็นเชื้อสายจากปุโรหิต ทั้งสองอยู่ในยุคเดียวกัน มีของประทานเหมือนกัน

ข้าพเจ้าไม่ได้ค้นพระคัมภีร์ ยืนยันเรื่อง ปุโรหิต และ เรื่องเชื้อสาย เพราะตอนนี้ข้าพเจ้าสนใจเรื่องอูริม ครั้งสุดท้ายอยู่ในมือของเอสรา ไม่มีพระคัมภีร์ยืนยันเรื่องนี้ แต่พอที่จะสันนิฐานได้ว่า ถ้อยคำที่ได้รับมานั้นเป็นความจริง เพราะ ข้อความสุดท้ายที่พระคัมภีร์เอ่ยถึงอูริมและทูมิม คือ อสร 2:63 และ นหม 7:65 ข้อพระคำทั้งสองข้อนี้ เป็นข้อความเดียวกัน และคุณอัจฉรีย์ไม่รู้เรื่องข้อพระคำนี้

เมื่อตอนเป็นคริสเตียนใหม่ๆ เป็นคริสเตียน ได้ประมาณหนึ่งปีตอนนั้นคุณ อัจฉรีย์ยังไม่เผยพระวจนะ และพระเจ้ายังไม่ตรัสภายใน คุณอัจฉรีย์เห็นนิมิต ( ช่วงนั้นเห็นนิมิตมากเหลือเกิน จนฟังไม่ไหว อย่าว่าแต่จดหรือบันทึกเลย ) เห็นแผ่นศิลาจำนวนมาก เขียนชื่อคนของพระเจ้าผู้รับใช้ของพระเยซูในแต่ละแผ่น มีอยู่สองแผ่นที่ติดกัน ตกลงมาที่ศีรษะ เมื่อหยิบดู ก็เห็นว่า แผ่นหนึ่งเขียนว่า เอสรา อีกแผ่นหนึ่งเขียนว่า เนหะมีย์ จึงส่งให้ข้าพเจ้าเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อตอนนั้นเรา ยังไม่รู้ว่า คำว่าเอสราและเนหะมีย์ เป็นชื่อพระคัมภีร์สองเล่ม ซึ่งอยู่ติดกันเสียด้วย

ศุกร์ 24-2-95 20: 50 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

( คัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง ) ___________________ เพราะฉะนั้นใน เวลานี้ เราสั่งสอนเจ้ามาโดยตลอดวันเวลา แม้กระทั้งสิ่งเร้นลับ ความล่ำลึกต่างๆ ที่เราบอกกล่าวกับเจ้า แม้กระทั่งการคดโกง ทรยศของบุคลต่างๆเราก็นำพาบอกกับเจ้าลูกเอ๋ยว่า ในสมัยโบราณบรรพบุรุษของเจ้านั้น ถูกแบ่งแยกออกเป็น เช่นใด ของจริงจากพระเจ้าและของปลอมจากสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเจ้านั้นเราก็สั่ง สอนเจ้านำพาเจ้ามาโดยตลอดลูกเอ๋ย และเราก็บอกความจริงเจ้ามาโดยตลอด เพราะฉะนั้นในวันนี้ เราจะสำแดงในสิ่งหนึ่งที่เจ้าทั้งหลายจะต้องรับเอาไว้ในจิตวิญญาณของเจ้า เพราะสิ่งเหล่านี้เราสำแดงความชัดเจนให้กับเจ้าแล้วทั้งสิ้นลูกเอ๋ย แต่หลายครั้งหลายครา หลายคนก็ยังมีความรู้สึกในจิตวิญญาณว่า สิ่งเหล่านี้นั้นมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ลูกเอ๋ย นั่นคือการปฏิเสธและการรับของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่สำแดงในบรรดามหาปุโรหิตและคนของพระเจ้าทุกคนที่เราได้เจิม และแต่งตั้งไว้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในถ้วยคำเหล่านี้นั้น เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า คำว่าอูริมและทูมมิมนั้นลูกเอ๋ย ทั้งสองสิ่งนี้เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า ความหมายนั้นก็คือ มาจากพระสิริของเราเองลูกเอ๋ย เป็นส่วนหนี่งของพระสิริของเรา ลูกเอ๋ย และเจ้าทั้งหลายทุกคนจะได้เห็นในสิ่งเหล่านี้ เมื่อวันที่เราองค์พระผู้เป็น เจ้าเสด็จกลับมาลูกเอ๋ย เพราะนครใหม่ที่ลอยลงมาท่ามกลางที่เจ้าทั้งหลายจะได้มองเห็น ในสิทธิอำนาจของการเป็นบุตรของพระเจ้านั้นลูกเอ๋ย พระสิริที่อยู่เต็มในนครนั้นลูกเอ๋ย ลักษณะจะเป็นเช่น อูริมและทูมมิมนั่นแหละลูกเอ๋ย ความสุกไสวของอัญมณีนั้นลูกเอ๋ย เป็นเหมือนแก้วมณีโชติช่วง มีความสุกใสและมีทั้งการเป็นผลึกลูกเอ๋ย สิ่งเหล่านี้เจ้าจะเห็นอย่างชัดเจนลูกเอ๋ย นี่คือถ้อยคำที่เรายืนยันในค่ำ คืนวันนี้ เพื่อให้ความเข้าใจของเจ้าได้ชัดเจนขึ้นว่า บัดนี้วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ลูกเอ๋ย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างของพระเจ้าเริ่มสำแดงให้เจ้าทั้งหลายได้ยินได้ฟังอย่างชัดเจนทั้งสิ้นลูกเอ๋ย และถ้อยคำเหล่านี้ก็มีอยู่แล้ว ในคำจารึกในตัวอักษรที่ พระบิดาได้ทรงทำการเอาไว้ให้เจ้าทั้งหลาย ได้รับรู้และได้รับฟังและได้มองเห็น และได้ศึกษาในถ้อยคำเหล่านี้ลูกเอ๋ย แต่เจ้าทั้งหลายทุกคนก็ยังไม่ได้เจาะลึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ และบัดนี้เราองค์พระผู้เป็นเจ้าสำแดงให้เจ้าได้เห็นแล้วว่า ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ของเราได้สำแดงกับเจ้าไปแล้วว่า อูริมและทูมมิม มีลักษณะเป็นเช่นไรลูกเอ๋ย และบัดนี้ถ้อยคำนี้ เราสำแดงและยืนยันให้เจ้าได้เห็นอีกว่า นี่คือคำยืนยันของเราอย่างชัดเจนว่า ความสุกใสของแก้วมณีนั้นลูกเอ๋ย มันมีทั้งความสุกสว่าง และการเป็นผลึกลูกเอ๋ย ในถ้อยคำเหล่านี้มีอยู่แล้วทั้งสิ้นในพระวจนะของเรา เพราะฉะนั้นในเวลานี้เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า ให้เจ้าได้ยินได้ฟังนั้น เพื่อให้จิตวิญญาณของเจ้าเต็มกำลังในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า และชื่น ชมยินดีในเราองค์พระผู้เป็นเจ้าและรู้สึกเปี่ยมล้นในจิตวิญญาณของเจ้าว่า ได้เข้า ใกล้ชิดเราองค์พระผู้เป็นเจ้ามากมายเพียงใดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงให้วันเวลา เหล่านี้ของเจ้าดำรงอยู่กับเจ้าไปตลอดวันเวลา จนกว่าที่เราจะเสด็จกลับมารับเจ้า ลูกเอ๋ย

บทที่ 3 พระคริสต์เทศนาในแดนผู้ตาย

ปฐมกาล 6:1-5 "มนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนแผ่นดินและมีบุตรหญิง บุตรชาย ของพระเจ้าเห็นว่าบุตรหญิงของมนุษย์งามดี ก็เลือกและรับไว้เป็นภรรยา พระเจ้าจึงตรัสว่า วิญญาณของเราไม่สถิตอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะไม่เกินร้อยยี่สิบปี ในคราวนั้นมีคนเนฟิลอยู่บนแผ่นดิน เมื่อบุตรพระเจ้าได้สมสู่อยู่กับบุตรหญิงของมนุษย์และมีบุตร พวกนี้เป็นคนแกล้วกล้าในโบราณกาล เป็นคนมีชื่อเสียง พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มี มากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป"

คำว่า "บุตรชายของมนุษย์" คิงส์เจมส์ใช้คำว่า "the sons of God" ส่วน คำว่า "บุตรหญิงของมนุษย์"ใช้คำว่า "the daughters of men"

ขอเล่าเรื่องราวย้อนเวลากลับไปสักหน่อย ความจริงต่อไปนี้ ได้รับการสำแดง จากพระเจ้าโดยหลายทาง ทั้งตรัสภายใน และโดยทางการเผยพระวจนะ ใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควรจึงปะติดปะต่อทั้งหมดได้

ก่อนสร้างโลก พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์จึงนับได้ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณ จำนวนของทูตสวรรค์มี 100 ล้านล้าน ดูในวิวรณ์ 5:11 ภาษาไทยใช้คำว่า "นับเป็นโกฏิๆเป็นแสนๆ คิงค์เจมส์ ใช้คำว่า the number of them was ten thousands times ten thousands, and thousands of thousands" ใน ดาเนียล 7:10 ใช้คำทำนองเดียวกัน ใน ฮบ 12:22 บอกว่า นับไม่ได้ (countless)

และในช่วงเวลาหนึ่ง ลูซิเฟอร์ก็กบฏ ถูกมีคาเอลและบริวารตีตกจากสวรรค์ชั้นที่ 3 ชั้นที่พระเจ้าสถิตอยู่ เข้าใจลูซิเฟอร์ลงมาพร้อมกับทูตสวรรค์ 1 ใน 3 (วว 12:4) หลังจากกบฎ พระเจ้าเรียกลูซิเฟอร์ว่า ซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ที่กบฏ บางส่วนลงมาบนแผ่นดินโลก เมื่อพระเจ้าสร้างโลกแล้ว บางส่วนถูกผูกมัด คุมขังไว้ในแดนผู้ตาย

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรก คืออาดัมและเอวา ด้วยฝีพระหัตถ์ของพระ องค์เอง ตามพระสักษณะของพระองค์ ทูตสวรรค์ที่ตกลงมาบนโลก เห็นว่าเนื้อหนังดี ก็สร้างมนุษย์บ้าง พระเจ้าทรงอนุญาต ในปฐมกาล บทที่ 4 อาดัมกับเอวา มีบุตรสองคน คือ คาอินกับอาแบล ตั้งแต่ข้อที่ 1 จนถึงข้อที่ 8 เมื่อคาอินฆ่าอาแบลไม่ปรากฏในพระคัมภีร์บอกว่า อาดัมกับเอวา มีลูกคนที่สาม หรือคนอื่นๆ เลย ในข้อที่ 8-14 พระเจ้าลงโทษคาอิน เพราะคาอินฆ่าอาแบล ในช่วงเวลานี้ อาดัมมีอายุประมาณ 130 ปี(ปฐม 5:3 ) ใน ปฐม 4:25 บอกว่ามีบุตรชื่อเสท แทน อาแบล เสทน่าจะเป็นบุตรคนที่สามของอาดัม ในบทที่ 4 ข้อ 14 พระเจ้า กำลังขับไล่คาอิน อาดัมอายุ 130 ปี คาอินบอกกับพระเจ้าว่า "ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าพระองค์เสีย" ข้อ 15 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ได้ ผู้ใดฆ่าคาอิน ..........." แสดงว่ามีมนุษย์คนอื่นอยู่บนโลก นั่นคือ ฑูตสวรรค์ที่ตกลงมาเป็นเนื้อหนังร่างกาย พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรกเท่านั้นและเป็นความปรารถนาจากใจ ของพระเจ้า ส่วนมนุษย์คนอื่นเป็นความปรารถนาของทูตสวรรค์ ไม่ใช่ของพระเจ้า

มนุษย์ที่มีร่างกายในทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ พระคัมภีร์บอกว่า วิญญาณของเขามาจากพระเจ้า มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ วิญญาณของเขาคือทูตสวรรค์ เพราะพระเจ้าให้สิทธิเสรีภาพ และมีความปรารถนาของเขาเองได้ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าบางตนจึงมีความปรารถนาอยากจะลองมาเป็นมนุษย์ เค้าโครงความปรารถนาของฑูตสวรรค์นี้เอง ทำให้พระเจ้าถือว่าไม่สะอาด (ดูเรื่อง มีคายาห์ผู้เผยพระวจนะ เพิ่ม เพราะเหตุนี้พระคัมภีร์จึงบันทึกใน โยบ 15 :15 ว่า "ดูเถิด พระเจ้ามิได้วางใจในเทพเจ้าของพระองค์ เออ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ไม่สะอาด "วิญญาณของมนุษย์ก็คือทูตสวรรค์ที่อยู่กับพระเจ้านั่นเอง ในพระคัมภีร์วิวรณ์บท ที่ 2 เป็นต้นไป พระเยซูคริสต์ตรัสกับยอห์นว่าให้เขียนถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักร........ คำว่าทูตสวรรค์นี้ พระเจ้าทรงหมายถึงมนุษย์นั่นเอง ที่อยู่ในคริสตจักร อาจจะหมายถึงศิษยาภิบาล ถ้าทูตสวรรค์หมายถึงวิญญาณล้วนๆ พระ เจ้าไม่ต้องให้ยอห์นเขียน สามารถสื่อถึงได้ง่ายอยู่แล้ว

ปฐม 6:2 บุตรของพระเจ้า จึงหมายถึง ฑูตสวรรค์กบฏที่ตกลงมาบนแผ่นดินโลก และมีร่างกาย ส่วนคำว่า บุตรหญิงของมนุษย์ หมายถึง มนุษย์ที่สืบสายพันธุ์ จากอาดัม อาดัมจึงเป็นสายพันธ์แท้ของพระเจ้า เมื่อทั้งสองฝ่ายสมสู่กัน ก็เกิดเป็นคนเนฟิล (nephil) คำนี้เป็นภาษาฮิบรู แปลว่าคนยักษ์ เป็นคนไม่สมประกอบ ผิดรูปผิดแบบ ตัวใหญ่ผิดปกติ อย่างโกลิเอท

ข้อที่ 4 บอกว่า เป็นคนแกล้วกล้า และมีชื่อเสียง หมายถึงแกมโกง ฉลาดในทางเลว เหตุการณ์นี้พระเจ้า พิโรธ ถือเป็นการล่วงประเวณี พระเจ้าทรงสาปสายพันธุ์ของอาดัมอีกครั้งหนึ่ง ในข้อ 3 ว่า อายุจะไม่เกิน 120 ปี

ข้อที่ 5 เป็นต้นไป พระเจ้าทรงทำลายล้างโลก โดยให้น้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์

2 ปต 2:4 มนุษย์ที่ตายจากน้ำท่วมจำนวนมาก วิญญาณของเขา หรือเดิมคือฑูตสวรรค์ ก็ถูกขังไว้ในแดนผู้ตาย พระคำข้อนี้ คำว่า ทุคติ ภาษาอังกฤษคิงส์เจมส์ใช้คำว่า hell แปลว่า นรก และประโยคท้าย "และได้ขังเขาไว้ในขุมนรกมืด" คิงค์เจมส์เขียนว่า "into chain of darkness" ถูกผูกมัดไว้ด้วย

ยูดา 6 ถ้าแปลจากคิงส์เดมส์จะได้ความว่า "และบรรดาทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาสถานะครั้งแรกของตนไว้ แต่ได้ละทิ้งที่อยู่เดิมของตน .........." อาจหมายถึงว่า ทูตสวรรค์อยู่ดีๆกับพระเจ้าไม่ชอบ ชอบลงมาเป็นมนุษย์ แล้วก็บาป ตอนท้ายของข้อนี้ (และเหล่าทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจอธิปไตยที่ทรงประทานให้ แต่ได้ละทิ้งถิ่นฐานอันเหมาะสมของตนนั้น พระองค์ก็ได้ทรงจองจำไว้ด้วยเครื่องพันธนาการอันไม่รู้จักสลาย ขังไว้ในที่มืด จนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันสำคัญยิ่งนั้น) บอกว่า วิญญาณของพวกเขาถูกขังไว้ในนรก จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาพิพากษา

ข้าพเจ้าเคยอธิษฐานทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานสั่งผูกมัด วิญญาณชั่วต่างๆที่มาทำการในชีวิตของข้าพเจ้า และสั่งมันลงไปขุมนรกแดนลึก จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาพิพากษา สั่งอย่างนี้จะได้ไหม

พระองค์เผยพระวจนะผ่านผู้พยากรณ์ว่า "เจ้าทำได้ทุกสิ่ง ในพระนามพระเยซูคริสต์ เจ้ารับมรดกในสิทธิอำนาจทั้งสิ้นจากเราแล้ว แต่เราจะไม่บัญชาเจ้า เพราะเราเที่ยงธรรมและยุติธรรม"

1 ปต 3:18 "........ ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์" ข้อความนี้ไม่ชัดเจน จากคิงส์เจมส์ควรเขียนว่า ".......เนื้อหนังของพระองค์สิ้นพระชนม์ เนื้อหนังของพระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาโดยพระวิญญาณ" วิญญาณของพระเยชูคริสต์ไม่ตาย แต่เนี้อหนังตาย 1 ปต 3:19" .... he went and preached …." พระองค์ได้ทรงเสด็จไปและได้เทศนา แก่วิญญาณที่อยู่ในแดนผู้ตาย" คำว่า " ที่ติดคุกอยู่" หมายถึงขุมนรกแดนลึก พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จ ไปประกาศข่าวประเสริฐในแดนผู้ตาย ตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ตายฝ่ายร่างกาย และอยู่ในอุโมงค์ฝั่งศพ 3 วัน พระองค์เสด็จไปฝ่ายวิญญาณ ประกาศด้วยพระองค์เอง 3 วัน เราไม่ทราบว่า 3วันบนโลก เท่ากับกี่วันกี่ปีในแดนผู้ตาย 1 ปต 4:5 ".....ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว" ดังนั้นวิญญาณในแดนผู้ตายก็สามารถรอดได้

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้สอนเรื่องนี้ เกือบ 90 นาที หลังการอธิษฐาน มีคำเผยพระวจนะดังนี้

ศุกร์ 13/1/95 20:40 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

ลูกเอ๋ยถ้าเจ้าแสวงหาเราเจ้าจะพบเรา การพบเราองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีความหมายแค่เพียงว่า เจ้าทั้งหลายจะได้รับในสิ่งที่เป็นพระพรสำหรับชีวิตของเจ้าเท่านั้นลูกเอ๋ย แต่เจ้าจะได้พบสิ่งที่เป็นความจริงมากมายนานัปการซึ่งเป็น ความเร้นลับความล้ำลึกขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมากมายลูกเอ๋ย ถ้าจิต วิญญาณของเจ้าแสวงหาในสิ่งเหล่านั้น และในสิ่งเหล่านี้นั้น มนุษย์ทุกคนสมควรที่จะได้รู้ เราพระเจ้าจะไม่ห่วงแหนเอาไว้เลยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นนั่นเป็นสิ่งดีและเป็นน้ำพระทัยของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ในบรรดาเจ้าทั้งหลายนั้น แสวงหาในสิ่งเหล่านี้ลูกเอ๋ย เจ้าค้นคว้าและขวนขวายกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถ้าจะพูดกันออกมาแล้ว มันก็ยังเป็นความลับขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นความลับที่มนุษย์หลายๆ คน ถ้าจะพูดแล้ว ก็ทั้งแผ่นดินโลกนี้ ยังไม่รู้เรื่องในสิ่งเหล่านี้ลูกเอ๋ย แต่ในเมื่อเจ้า ได้แสวงหาเราในความล้ำลึกบางสิ่งบางอย่าง ที่พระเจ้ามิได้เคยสำแดงนั้นลูกเอ๋ย นั่นมิได้ขัดในน้ำพระทัยของเราเลยลูกเอ๋ย แต่เป็นน้ำพระทัยของเรา และเราก็ ปรารถนาที่แสวงหาบรรดาบุคคลเหล่านี้ลูกเอ๋ย ที่เขาจะแสวงหาเราด้วยจิต วิญญาณและความจริงนั่นแหละลูกเอ๋ย การแสวงหาพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่การ นมัสการสรรเสริญเราเท่านั้นลูกเอ๋ย แต่เป็นหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เจ้ามีความปรารถนาที่จะรู้จัก และเข้าใจเราองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าลักษณะที่แท้จริงของเราที่ชัดเจนนั่นเป็นเช่นไร ลูกเอ๋ย อย่างเช่นการขวนขวายและค้นคว้าในทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาเหล่านี้ ที่เจ้าทั้งหลายได้ปฏิบัติอยู่ลูกเอ๋ย นี่คือการแสวงหาพระเจ้าอย่างถูกต้อง นี่คือการค้นคว้าที่จะรู้จักและเข้าใจในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้น ในวันนี้ เราจึงสั่งสอนเจ้า เราจึงบอกกับเจ้า ให้เจ้าได้รู้และได้เข้าใจในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ที่พระเจ้าทรงสร้างลูกเอ๋ย เราสร้างมนุษย์ น้ำพระทัยของเราเจาะจง ว่าอาดัมนั้นจะเป็นมนุษย์คนแรกที่เราได้สร้างขึ้นถูกต้องที่เจ้าได้ยินถ้อยคำว่าเป็น ความปรารถนาของพระเจ้าที่สร้างมนุษย์คู่นี้ขึ้นมา เป็นคู่แรก ที่ทำให้มีร่างกาย เป็นเนื้อหนัง โดยผงคลีดินนั้น เป็นการปั้นจากผงคลีดินนั้น นั่นเป็นน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย และในน้ำพระทัยของเรา เราก็กำหนดและกะแผนการวางแผนการไว้ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่า เชื้อสายของอาดัมจะเป็นเชื้อสายของชนชาติบริสุทธิ์ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ เพียงชนชาติเดียวลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นต่างชาติ ดังที่เจ้าได้ยินได้ฟังถ้อยคำว่าคนต่างด้าวคนต่างชาตินั้น จึงมิได้เกิดขึ้นมาจากฝีพระหัตถ์ของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นมาเพราะความปรารถนาของดวงวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ด้วยสิทธิและเสรีภาพลูกเอ๋ย นี่คือความจริงที่เราบอกกับเจ้าในเวลานี้ว่า ชนชาติยิวหรือชนชาติอิสราเอลนั้น คือชนชาติที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่า พระเจ้าจะเลือกไว้สำหรับชนชาติบริสุทธิ์ของพระองค์ลูกเอ๋ย แต่ชนชาติยิวและชนชาติอิสราเอลนั้น ใช้สิทธิและเสรีภาพ กระทำการกบฏ เหมือนดังบรรพบุรุพของเขาลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นแผนการของพระเจ้าที่จัดเตรียมเอาไว้ให้กับชนชาตินี้นั้น จึงต้องถูกกระทำให้ มีทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสอดคล้องและรองรับ เพราะมิฉะนั้น ความบาปของมนุษย์นั้น จะไม่มีวันสูญสิ้น และไม่มีทางใดๆที่มนุษย์จะพบกับความสว่างได้เลยลูกเอ๋ย เจ้าจึงเห็นแผนการขั้นตอนทุก อย่างที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ ให้กับบรรดาบรรพบุรุษของเจ้า และเดินมาในแผน การเหล่านั้นจนถึงตัวของพวกเจ้าทั้งหลายว่า การลบล้างมลทินการล้างบาป การ ที่จะไถ่เจ้าให้พ้นจากความผิดบาปทั้งปวงนั้น ด้วยเช่นใด และด้วยผู้ใดลูกเอ๋ย และ เจ้าเองก็ได้ยินและได้รับในสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เราสำแดงให้เจ้าได้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของเรานั้น สำแดงทุกอย่างนั้น เป็นเจตนาและเป็นความปรารถนาของเรา และเป็นหมายสำคัญมาตั้งแต่ต้นทั้งสิ้นว่า ทุกอย่างนั้นจะต้องกระทำตามขั้นตอนเหล่านี้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งการลบล้างมลทินการล้างบาป หรือที่เจ้าทั้งหลาย เรียกว่าเจ้าบังเกิดใหม่ด้วยการบัพติศมาด้วยน้ำนั้นลูกเอ๋ย เหล่านี้จึงเป็นหลักสำคัญเหมือนกันว่า เจ้าทั้งหลายทุกคนมิเพียงแต่จะรู้จักแค่พระนามของเรายอม รับในพระนามของเราเท่านั้นแต่เจ้าจะต้องได้รับการบัพติศมาครบถ้วนบริบูรณ์ ลูกเอ๋ย ทั้งน้ำและทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งที่สำคัญ การลบล้างบาปในครั้งแรกของพื้นแผ่นดินโลก ที่พระเจ้าได้ล้างบาปทั้งหมดก็คือการทำให้น้ำท่วมเกิดขึ้นทั้งโลกนั้นลูกเอ๋ย และมนุษย์ผู้ที่เชื่อจริงๆในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะพบความรอดจากการล้างบาปนี้ทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นหมายสำคัญว่า เมื่อพระเจ้าล้างบาปได้แล้ว มนุษย์จะรอดได้ นี่คือการสำแดงซึ่งการล้างบาปให้เจ้าได้เห็นว่า มนุษย์ที่ล้มใน ความบาปและไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็จะต้องตายอยู่ในน้ำ น้ำนั้นจะเป็นสิ่งที่ลบล้าง มลทิน และฝังทั้งสิ้น ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น ที่เป็นความบาปนั้นตายอยู่ในนั้นหมดลูกเอ๋ย ผู้ที่รอดจากน้ำขึ้นมานั้น คือผู้ที่เชื่อในเราองค์พระผู้เป็นเจ้า และเขาก็เป็นผู้ที่รอดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นลักษณะที่เราสำแดง โดยการมีตัวตนนั้น จึงบังเกิดและสืบเนื่องขึ้น เพราะฉะนั้นการที่ผู้หนึ่งผู้ใดยอมรับในพระนามของเรา เชื่อในพระนามของเรา เขาจึงจำเป็นต้องฝังตัวเก่าลงในน้ำ เพราะน้ำคือสิ่งที่พระ เจ้าได้สำแดงถึงการล้างบาปล้างความชั่วบนแผ่นดินโลกนี้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นสิ่ง สำคัญเราสำแดงให้เจ้าได้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของเรานั้น มีขั้นตอนที่สอดคล้อง ดังที่เราเคยกับเจ้าเสมอในคริสตจักรแห่งพระนามของเราว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกันหมด ลักษณะของเราพระเจ้าจะเป็นเช่นนั้นลูกเอ๋ย เพราะแผนการของเรา จะไม่มีคำว่าเปลี่ยนแปลงลูกเอ๋ย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้เข้ามาและกำหนดให้ เกิดขึ้นเข้ามานั้นจะต้องมาผูกพันเป็นเรื่องเดียวกันหมดและสุดท้ายตอนจบของ เรื่องจะต้องเป็นสิ่งที่เราพระเจ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า ความปรารถนาของพระเจ้าเป็นเช่นใด สิ่งนั้นจะต้องเกิดขึ้นลูกเอ๋ย แม้กระทั้งเจ้าทั้งหลายได้ทำลายแผนการของเราหลายครั้งหลายครา โดยการกบฏและโดยการล้มลงในความบาปเราก็ยังผูกพันทุกอย่างให้เกิดและดำเนินมาถึง ในเรื่องเดียวและในตอนจบที่เป็นสิ่งเดียวที่เรากำหนดและสถาปนาไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนี้ลูกเอ๋ย นั่นคือความรอด และชีวิตนิรันดร์ ที่เรานำพามาสู่เจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีกับมนุษย์นั้น ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วมันเปรียบเทียบไม่ได้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเจ้าอยู่ในวาระเหล่านี้ จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดลูกเอ๋ย จงทำหน้าที่ให้เป็นผู้ที่รับมอบฉันทะที่ดีที่สุดลุกเอ๋ย เจ้าทั้งหลายคือผู้นั้น ผู้ที่ รับมอบฉันทะจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า จงปฏิบัติการในทุกๆสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี หน้าที่และเจ้ามีของประทานในแต่ละคนเถิดลูกเอ๋ย ใช้ของประทานของเจ้าให้เป็น ประโยชน์แก่กันและกันลูกเอ๋ย นั่นคือสิ่งที่เราโปรดปรานลูกเอ๋ย ผู้ใดจะต้องบริการ ก็บริการด้วยความเหมาะสมลูกเอ๋ย และผู้ใดถ้าจะกล่าวก็จงกล่าวแต่ด้วยคำภาษิต ของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากระทำนั้น พระเจ้าของ เจ้าจะได้รับเกียรติอย่างมากมายลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในค่ำคืนวันนี้ เราพระเจ้าโปรดปรานเจ้า เรารักเจ้าทั้งหลายทุกคนลูกเอ๋ย เพราะเจ้าเดินและยืนและดำเนิน อยู่ในทางของเราแม้จะมีเพียงเล็กน้อยในบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าทำให้เราองค์พระผู้ เป็นเจ้าสะดุดในน้ำพระทัยในหลายๆครั้งลูกเอ๋ย และแต่ละคนนั้นก็จะรู้จักในจิตวิญญาณของเขาดีว่า เขาทำสิ่งใดเขาประพฤติสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ ที่ให้เกิดขึ้น ท่ามกลางในจิตวิญญาณของเราในน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าพระเจ้ารักเจ้า เรานำพาสิ่งดีให้เจ้าเสมอลูกเอ๋ย และจงเชื่อเถิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตรัสกับเจ้ามาโดยตลอดนั้น ยังคงดำเนินอยู่ในแผนการของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ต้องเกิดขึ้นตามตอนจบที่เราได้บอกกับเจ้าทั้งหลายทุกคนว่า สุดท้ายของเจ้าจะยิ่งใหญ่นั้นเป็นเช่นใดลูกเอ๋ย และบัดนี้วาระนี้จะไม่มีคำว่าพลาดอีกต่อไปลูกเอ๋ย เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้สำแดงแลว้ซึ่งขั้นตอน ที่จะให้เจ้าทั้ง หลายเข้าสู่ชีวิตที่สมบูรณ์จากเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เราบอกความล้ำลึก เราบอกวิธีการ เราบอกวาระทั้งสิ้นให้กับเจ้าแล้วมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นจงใช้ในสิ่งเหล่านี้ ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเจ้าให้มากขึ้นทุกวันทุกเวลาเถิดลูกเอ๋ย แล้วเจ้าจะได้เห็น และเจ้าจะได้สัมผัสในสิ่งดีนั้นว่า พระเจ้ามิได้มุสากับเจ้า พระเจ้ามิได้หลอกลวงเจ้า และเมื่อวันนั้นมาถึงเจ้าทั้งหลายก็จะต้องพูดว่า เราได้บอกกับเจ้าแล้วในสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย จงเชื่อและวางใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราบอกกับเจ้านั้น ต้องเกิดอย่างแน่นอนลูกเอ๋ย ไม่มีสักสิ่งเดียวที่จะขาดไปลูกเอ๋ย และเราบอกกับเจ้าเสมอว่า เวลานี้ ณ ที่นี้ ณ ช่วงเวลาฤดูกาลนี้เป็นของเราองค์พระเจ้าผู้เป็นเจ้า และเรากำลังทำการดำเนินการอย่างไร วิธีการของเราเป็นเช่นไร พวกเจ้าทั้งหลายรู้และลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า เจ้าทั้งหลายทุกคน ณ ที่นี้ จะขาดพระพรของพระเจ้าก็หาได้ไม่ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงยึดถือและปฏิบัติในสิ่งดีเหล่านี้ ตลอดไปเถิด เจ้าคือผู้รับมอบฉันทะที่ดีลูกเอ๋ย จงปฏิบัติต่อไปลูกเอ๋ย และเจ้าจะเห็นสิ่งยิ่งใหญ่ของเจ้านั้นทุกคน ว่าแต่ละคนที่เจ้าได้รับจากพระเจ้านั้น คือสิ่งใด ความหมายของเราที่ให้กับเจ้านั้น คำว่ายิ่งใหญ่จากพระเจ้า ลูกเอ๋ย มนุษย์จะเปรียบเทียบไม่ได้เลย เพราะความยิ่งใหญ่ของเราที่ให้กับเจ้านั้น ไม่มีคำว่าสิ้นสุด ลูกเอ๋ย

ศุกร์ 13/1/95 20:40 น. คำเผยพระวจนะโดยพิมพ์พรรณ

ลูกเอ๋ย คำว่าแดนผู้ตาย ที่เจ้ากำลังกล่าวถึงกันนั้น ก็คือแดนมรณา แดนที่ขุมนรก ที่วิญญาณต่างๆต้องลงไปอยู่ที่นั่นนั่นแหละลูกเอ๋ย ตรงนั้นจะเป็นที่กักขัง เหมือนดังคุกบนโลกมนุษย์นั้นแหละลูกเอ๋ย เขาจะรอวันที่จะปลดปล่อยออกมา ทุกๆวิญญาณจิตจะต้องรอวันที่จะปลดปล่อยออกมาจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย เราปลดปล่อยเขาได้ ในการประกาศในแดนผู้ตายนั้น ก็คือการทำให้ดวง วิญญาณเหล่านั้นได้ปลดปล่อยออกมาจากขุมนรกนั่นเองลูกเอ๋ย เราปลดปล่อยได้ ฉะนั้นคนที่ตายและล่วงหลับไปแล้ว ก็ยังมีความรอดรอเขาอยู่ได้ลูกเอ๋ย จงเชื่อในเรา และจงประกาศออกไป และจงอธิษฐานเผื่อเขา นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วในจิตวิญญาณของเจ้าที่คิดเช่นนั้นลูกเอ๋ย ในสิ่งเหล่านี้ มาจากเราองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ใส่ความคิดออกให้กับเจ้าลูกเอ๋ย สิ่งเหล่านั้นแหละเป็นน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย

เจ้าสามารถที่จะอธิษฐานเผื่อเขาได้อธิษฐานในพระนามของเรานั่นแหละลูกเอ๋ย อธิษฐานตามที่เจ้ามีความรู้นั่นแหละลูกเอ๋ย อธิษฐานเผื่อบรรพบุรุษของเจ้าที่อยู่ในแดนผู้ตายลูกเอ๋ย เขาจะรับรู้ถึงคำอธิษฐานของเจ้า เพราะจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณย่อมสื่อถึงกันได้ลูกเอ๋ย

ลูกเอ๋ยเมื่อเจ้าอธิษฐานเผื่อเขานั้นให้เจ้าขอพระพรจากเราและอวยพระพรแก่เขาด้วย เพราะพระพรจากเราจะถึงเขาได้ด้วยเช่นกันลูกเอ๋ย พระพรจากองค์พระ ผู้เป็นเจ้าไม่มีขีดขวางกั้นแม้แต่แดนผู้ตาย ก็สามารถลงลึกถึงแดนผู้ตายได้ ฉะนั้นเมื่อเจ้าอธิษฐานเผื่อเข้าแล้ว ให้เจ้าขอพระพรจากเราที่จะนำไปสู่เขาด้วยลูกเอ๋ยให้ ชีวิตในจิตวิญญาณของเขาในชีวิตในแดนผู้ตายของเขา ได้พบกับความสุขได้ลูกเอ๋ย

ศุกร์ 13/1/95 20:40 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

นี่แหละคือความหมายที่ใหญ่ว่า จิตวิญญาณครองโลก นี่แหละคือการกระทำ ในสิ่งเหล่านี้แหละลูกเอ๋ย ที่เราบอกกับเจ้าว่า จิตวิญญาณจะครองโลก นี่เป็นลักษณะของจิตวิญญาณครองโลก เราสำแดงให้เจ้าได้เห็นแล้วว่า เรื่องของฝ่ายวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่ลูกเอ๋ย หลายคนมนุษย์บนแผ่นดินโลกนี้ ยังหลงและยังเพ้อฝันการกระทำของเขาว่า สิ่งที่เขาได้กระทำนั้น จะลงไปในแดนผู้ตายได้ หาเป็นเช่นนั้นลูกเอ๋ย มนุษย์ปฏิบัติไม่ได้ มนุษย์ต้องยืนอยู่ในฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณนั้นจะถึงถึงแดนผู้ตายไม่ได้ ก็ต้องเป็นพระวิญญาณของเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ลูกเอ๋ย เราบอกกับเจ้าแล้วว่า ทุกที่ทุกทางพระเจ้าสถิตอยู่ ไม่ว่าเจ้าจะหนี เราลงไปยังแดนผู้ตาย เราก็จะอยู่ที่นั้น หนีเราไปยังสวรรค์เราก็อยู่ที่นั่น บนแผ่น ดินโลกเราก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นทุกหนทุกแห่ง พระเจ้ากระทำการได้หมดลูกเอ๋ย และนี่เป็นคำยืนยันจากเราอีกวาระหนึ่งว่า จิตวิญญาณของพวกเราทั้งหลายจะ ครองโลกได้ก็ด้วยวิธีการนี้แหละลูกเอ๋ย นี่คือสิ่งสำคัญ เราจึงให้เจ้าเดินอยู่บนฝ่าย วิญญาณตลอดเวลาที่เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ลูกเอ๋ยผลที่เกิดจากตัวของ เจ้านั้นจะนำพาซึ่งความรอดไปยังบรรดาบุคคลเหล่านั้นได้ แม้ว่าร่างกายเขา ไม่มีแล้วเหลือแต่เพียงจิตวิญญาณที่ถูกกักขังในแดนผู้ตายนั้นลูกเอ๋ย นี่เป็นสิ่งที่เจ้าทำได้ เพราะสิทธิ์อำนาจนี้เป็นสิทธิของพระเจ้าลูกเอ๋ย อำนาจของความตาย ไม่สามารถอยู่เหนืออำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้และอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ก็อยู่เหนืออำนาจของความตายทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพินิจพิจารณาและใคร่ครวญเถิด จงเข้าใจให้แจ้งในจิตวิญญาณของเจ้าว่า ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำจริง และเป็นความจริงและเป็นหลักเกณฑ์และเป็นหลักการสอนได้อย่าง ถูกต้องลูกเอ๋ยแม้มนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดในแผ่นดินโลกนี้ จะไม่ยอมรับในสิ่งเหล่านี้มา ก่อนลูกเอ๋ยแต่บัดนี้เราสำแดงให้เจ้ารู้ว่านี่เป็นความจริงลูกเอ๋ยว่า แม้แต่แดนผู้ตาย ข่าวประเสริฐของเราก็มีฤทธิ์เดชลูกเอ๋ย เพราะฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐของเรานั้น กระทำการได้ลูกเอ๋ย สำหรับบรรดาช่วยให้เกิดความรอดกับบุคคลต่างๆ ที่ได้ยินข่าวประเสริฐของเรา และยอมรับในข่าวประเสริฐของเรานั้น ลูกเอ๋ย ข่าวประเสริฐของเราช่วยได้ทั้งสิ้น เพราะมิฉะนั้นเราจะลงไปยังแดนผู้ตาย ทำไมลูกเอ๋ย เราก็บอกกับเจ้าแล้วว่า นั่นเป็นตัวอย่างของเรา ที่กระทำให้กับเจ้าทั้งหลายได้ดู พระลักษณะของเราอย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นจงพิจารณา และใคร่ครวญในสิ่งเหล่านี้ ถ้าสิ่งเหล่านั้นทำไม่ได้ พระเจ้าของเจ้าจะไม่ลงไป ปฏิบัติการด้วยตัวของพระองค์เองทั้งสิ้นลูกเอ๋ย และเราก็บอกกับเจ้าทั้งหลายทุกคนว่า เจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าสามารถทำการทุกอย่างได้เหมือนเรา และยิ่งกว่าลูกเอ๋ย เหล่านี้เป็นคำจริง จงพิจารณาดูเถิดลูกเอ๋ย เพราะทุกอย่างนั้นครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีผู้ใดจะคิดค้านในสิ่งเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดจะ คัดค้านในถ้อยคำเหล่านี้ได้ลูกเอ๋ย เราได้แจ้งให้เจ้าทั้งหลายได้ประจักษ์แล้วว่านี่ เป็นความจริงในแดนผู้ตายถ้าผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้ถึง ที่นั้นก็ได้รับความรอด จิตวิญญาณเท่านั้นจะสื่อลงไปได้ลูกเอ๋ย ร่ายกายของเจ้ากระทำไม่ได้ แต่จิต วิญญาณหรือฝ่ายวิญญาณของเจ้ากระทำได้ เพราะเจ้ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเราสถิตในเจ้าลูกเอ๋ย ความผูกพันเป็นอันเดียวกัน เจ้าเป็นเหมือนพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา เพราะเราบอกแล้วว่าผู้ใดสัมพันธ์สนิทกับเรา จิตวิญญาณหรือวิญญาณของเจ้านั้น จะเป็นหนึ่งเดียวและจะเป็นอันเดียวกันกับพระวิญญาณของพระเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด และเมื่อเจ้ายอมให้วิญญาณของเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะ ฉะนั้นวิญญาณของเจ้าจึงเป็นเหมือนวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นเจ้าทำการทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะแดนผู้ตาย หรือฟ้าสวรรค์ หรือแผ่นดินโลก พิจารณาดูเถิดลูกเอ๋ย คำอธิษฐานของเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดเป็นใหญ่เหนือกว่าแดนผู้ตาย ถ้อยคำของเจ้าด้วยจิตวิญญาณยังถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์ แล้วสัมมหาอะไรลูกเอ๋ย กับแดนผู้ตายนั้น คำอธิษฐานของเจ้า โดยเราเป็นผู้อธิษฐานแทนเจ้า เราเป็นผู้อธิษฐานให้กับเจ้า เมื่อเจ้าเอ่ยพระนามของเรา คำอธิษฐานของพระเยชูคริสต์เจ้าจะอธิษฐานเหมือนกับปากของเจ้า ในเวลาเดียวกัน แล้วคำอธิษฐานของเราจะไม่มีผลถึงแดนผู้ตายหรือลูกเอ๋ย

อังคาร 3/1/95 10:20 น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

ลูกเอ๋ย การรู้จักเราองค์พระผู้เป็นเจ้าและการเข้าใจองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งประเสริฐที่มนุษย์ทั้งหลายพึงกระทำลูกเอ๋ย และเราก็ยืนยันและ บอกถ้อยคำกับเจ้าเสมอว่าผู้ใดเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราก็เป็นปฏิปักษ์ด้วยลูกเอ๋ย เราก็จะเห็นผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์กับเราด้วยเช่นเดียวกัน เหมือนดังที่เราบอกว่าผู้ใดเป็นศัตรูกับเจ้า ก็เป็นศัตรูของเราด้วยลูกเอ๋ย ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นอย่างนี้เป็นลักษณะอันหนึ่งอันเดียวกันลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเมื่อจิตวิญญาณของเจ้ามีความปรารถนา ที่จะให้วิญญาณชั่วร้ายต่างๆนั้น ได้รับการผูกมัด ได้รับคำสั่งที่ทุกข์ทรมาน ลงไปอยู่ในก้นบึ้งแห่งความทุกข์ทรมาน หรือแดนผู้ตายนั้นลูกเอ๋ย นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หาใช่สิ่งที่ผิดไม่ลูกเอ๋ย เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า สิ่งใดที่เจ้าขอเราจะให้ แต่ถ้าเจ้าไม่ขอ เราไม่ให้ลูกเอ๋ย เหล่านี้แหละคือน้ำพระทัยของเราลูกเอ๋ย เราบอกในสิ่งนี้ให้กับเจ้าลูกเอ๋ย แต่เรามิได้สั่งให้เจ้ากระทำลูกเอ๋ย เพราะ ฉะนั้นเราบอกเสมอว่า บรรดาบุตรของเราทุกคนมีสิทธิอำนาจมีเสรีภาพในการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามความปรารถนาของเจ้า แต่ผู้ใดล่ะ จะรู้ถึงว่าขั้นตอนและพื้นฐานแห่งความปรารถนานั้น จะกระทำในน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลูกเอ๋ย เมื่อเจ้ามองเห็นปฏิปักษ์ขององค์พระคริสต์ เป็นเหมือนปฏิปักษ์ของตัวของเจ้า เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากระทำนั้น จึงหาผิดไม่ลูกเอ๋ย เราบอก ความจริงให้เจ้ารู้ แต่พระเจ้าเที่ยงธรรมและยุติธรรม เราจะไม่สั่งหรือบัญชาให้เจ้า ทำในการใดๆ แต่ความปรารถนาของมนุษย์ เรายกให้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น จงรู้เถิดว่าความปรารถนาแห่งจิตวิญญาณนั้นเจ้าก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งใดทำถูก สิ่งใดทำไม่ถูก ลูกเอ๋ย พระเจ้า เรามาเพื่อลบล้างความบาป เรามาเพื่อทำลายสิ่งชั่วร้ายวิญญาณชั่วร้ายทั้งสิ้น ให้ปราศนาการไปจากแผ่นดินโลกนี้ให้หมด แล้วเหล่านี้แหละ แล้วเจ้าเองก็สมควรที่จะรู้แล้วว่าเหล่านี้คือน้ำพระทัยของเราหรือไม่ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพิจารณาและใคร่ครวญเถิดลูกเอ๋ย เราบอกเสมอว่าไม่มีสิ่ง ใดที่เจ้าทั้งหลายจะกระทำไม่ได้ภายในใต้ฟ้านี้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำโดยพระนามของเรา จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายตาพระเนตรของเราลูกเอ๋ย นี่แหละคือการใช้สิทธิอำนาจของการเป็นบุตรของพระเจ้า ลูกเอ๋ย เราจึงบอกเสมอว่า เรามีความปรารถนาจะให้เจ้าทั้งหลายทุกคนได้มีส่วนร่วม ในพระราชกิจของเราทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เราเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อเจ้าทั้งหลายลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าทั้งหลาย รู้จักเรา และเข้าใจเรา เจ้าทั้งหลายก็จะมีความปรารถนา ที่จะกระทำทุกอย่างร่วมกับเรา ลูกเอ๋ย เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้า น้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้า จุดมุ่งหมายของพระองค์เป็นเช่นใด ถ้าเจ้ากระทำตรงจุดมุ่งหมายขององค์พระบิดาเจ้า จึงไม่มีคำว่าผิดใดๆทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชัดเจนดีแล้วลูกเอ๋ย ในเวลานี้เราบอกเจ้า เราตรัสกับเจ้าด้วยความชัดเจนแล้วลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพิจารณาเถิดลูกเอ๋ย

[อธิษฐานทูลถามว่า พระคัมภีร์คิงส์เจมส์ ภาษาไทยไม่มี บอกว่า พระเยซูคริสต์ ลงไปแดนมรณาเทศนา พระองค์เทศนาอะไร และข้างต้นพระองค์บอกว่า ธรรมบัญญัติไม่สามารถทำให้พวกเขารอดได้ หมายความว่า ก่อนพระองค์บังเกิดบนแผ่นดินโลก ไม่มีผู้ใดรอดเลยหรือ และพระองค์ลงไปแดนผู้ตายเพื่อเทศนาแก่คน เหล่านั้นหรือ]

เป็นความจริงเช่นนั้นว่า เราสามารถอยู่ได้ในแดนผู้ตาย เราสามารถอยู่ได้บนสวรรค์อันสูงสุด เราสามารถอยู่ได้ในเมืองบรมสุขเกษม เราสามารถอยู่ได้ บนแผ่นดินโลกนี้ลูกเอ๋ย เราไปได้ในทุกที่ ไม่มีขอบเขตจำกัดในเราลูกเอ๋ย เพราะเรามีสิทธิอำนาจของการเป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนและบริบูรณ์ในเราลูกเอ๋ย สิทธิอำนาจในการที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้พบกับความรอดครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ในเรา ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเราจึงกระทำการเหล่านี้ได้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะว่าอำนาจของความตาย อำนาจของความบาป ไม่สามารถอยู่เหนืออำนาจของพระเจ้าได้ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในสิ่งที่เราได้บอกกับเจ้าว่า เราลงไปยังแดนผู้ตาย และเราได้เทศนาสั่งสอนในสิ่งเหล่านี้ ประกาศข่าวประเสริฐด้วยตัวของเราเอง กับบรรดาผู้ที่ อยู่ในแดนตายนั้น นั่นเป็นความจริง และสิ่งที่เราบอกกล่าวก็คือ การวายพระชนม์ของเรา บนไม้กางเขน นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ว่าจะได้ยินในห้วงไหน ในโลกไหน ก็จะต้องได้รับการสรรเสริญ ถ้าอยู่ในแดนผู้ตาย ทุกอย่างที่นั่นก็จะต้องสยบใต้พระบาทของเรา ถ้าได้ยินถึงฟ้าสวรรค์ ก็จะมีแต่การแซ่ซ้องสรรเสริญ และถ้า บนแผ่นดินโลกการปลดปล่อยความผิดบาปความรอดก็จะมาสู่ ลูกเอ๋ย เหล่านี้เป็นความจริงทั้งปวงที่เราบอกกับเจ้า เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า เราพระเยซูคริสต์เจ้า เราลงไปยังแดนผู้ตาย ก็เพราะเราต้องการให้บรรดาบุคคลเหล่านั้นได้พบความรอดลูกเอ๋ย และก็เป็นความจริงว่าพระเจ้าทำการเหล่านี้ เพื่อให้บรรดาบุคคล ที่ไม่มีโอกาสเลยลูกเอ๋ย ที่จะรู้จักกับเราอย่างแท้จริงนั้น ได้รู้จักลูกเอ๋ย ว่าเราคือพระองค์นั้น เพราะพระเจ้าองค์นั้น ที่ช่วยเขาทั้งหลายให้รอด และมีชีวิตนิรันดร์ได้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเรามีสิทธิอำนาจทั้งสิ้นไม่ว่าจะโลกไหนๆลูกเอ๋ย ไม่ว่าจะเป็นภพไหน เราพระเจ้าทำการได้หมดทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า นี่คือฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้าลูกเอ๋ยข่าวประเสริฐอันนี้แหละที่มีฤทธิ์เดชมีฤทธานุภาพ ไม่ว่าจะเป็น แดนผู้ตาย ฟ้าสวรรค์ หรือแผ่นดินโลก หรือเมืองบรมสุขเกษม ฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐของเรานั้นยิ่งใหญ่นักลูกเอ๋ย กระทำการเหล่านี้ได้หมดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าพระโลหิตของเรานั้นยิ่งใหญ่นักลูกเอ๋ย จึงเป็นพระโลหิตแห่งพระสัญญาทั้งสิ้นดังที่เจ้าทั้งหลายได้รู้จัก โดยที่เจ้าได้เข้ามายึดในนามของเราเหล่านั้น เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า พระเจ้าของเจ้า การวายพระชนม์ของพระเจ้าของเจ้า และการฟื้นคืนพระชนม์นั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ลูกเอ๋ยเพราะฉะนั้นมารได้ยินคำนี้ มันก็จะหวั่นกลัวและเกรงกลัวลูกเอ๋ย มันกลัวพระโลหิตของเราลูกเอ๋ย มันจะหนีและซ่อนหน้าและจะไม่กล้าสู้กับเราเลย ลูกเอ๋ย มันกลัวในฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตของเราทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่รวมเป็นข่าวประเสริฐของเราพระเยซูคริสต์เจ้า มารกลัวอย่างมากมาย และ มันไม่สามารถจะต่อสู้ได้เลยลูกเอ๋ย เหมือนกับที่เราบอกกับเจ้าว่า วันที่เราถูกตรึงนั้น เราได้ปลดบรรดาเทพผู้ครอง เทพอาณาจักร เทพทุกๆเทพนั้นลงให้อยู่ใต้พระบาทของเราหมดสิ้น รวมทั้งวิญญาณชั่วร้ายทั้งในย่านฟ้าอากาศ ลูกเอ๋ยเพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า ในแดนผู้ตายนั้น ไม่มีสักสิ่งเดียว ที่จะอยู่เหนือนามของเราลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า เราพระเจ้า เราอยู่ได้ในทุกๆที่ ไม่มีขอบเขตจำกัด รวมทั้งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของเราด้วยลูกเอ๋ย

[อธิษฐานทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่อยู่ในแดนผู้ตาย ถ้ารับพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า ก็สามารถรอดได้ คือ ขึ้นสู่บนเมืองบรมสุขเกษม และปัจจุบันนี้พระองค์ ยังประกาศในแดนผู้ตายอีกหรือไม่]

ลูกเอ๋ย นั่นเป็นความจริงที่ว่า เมื่อเราวายพระชนม์ลง ที่แรกที่เราจะต้องไป ก็คือแดนผู้ตาย นั่นคือความถูกต้องและชัดเจนว่า ความบาปความผิดของมนุษย์ เราได้แบกรับไว้ และเราต้องนำสิ่งเหล่านั้น ลงไปในแดนผู้ตายทั้งสิ้นลูกเอ๋ย และน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์อยู่ที่ไหนที่นั่นจะมีสันติสุข เมื่อเราไปที่ใด ที่นั้นก็จะได้พบกับความรอด และเหล่านี้คือน้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้าลูกเอ๋ย ในเวลาเหล่านั้น จึงมีบรรดาบุคคลได้รับความรอด และนี่คือตัวอย่างที่สำคัญที่พระเจ้าได้กระทำแล้วว่า แม้แต่แดนผู้ตายก็สามารถรอดได้ ถ้ารู้จักพระนามของเรา จะด้วยวิธีการหนึ่งวิธีการใดก็ได้ ถ้าเขามีสิทธิที่จะได้ยินเสียงว่า พระเยซูคริสต์เจ้าคือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียวเป็นพระเจ้าที่ยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อพระโลหิตที่หลั่งออกนั้น จะได้ชำระบาปทั้งสิ้นของมวลมนุษย์ในโลกนี้และทำ ให้เขาทั้งหลายนั้นได้หลุดพ้นจากความผิดความบาป และมีชีวิตรอด และมีชีวิตนิรันดร์ลูกเอ๋ย และข่าวประเสริฐเหล่านี้ยังเป็นฤทธิ์เดชอยู่จนทุกวันนี้ลูกเอ๋ย แม้เราจะไม่ได้ลงไปในแดนผู้ตาย แต่เจ้าทุกคนที่มีจิตวิญญาณ และกายแท้คือเราองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ด้วย เราบอกแล้วว่าทุกอย่างบัดนี้บนผืนพิภพโลกนี้นั้นเดินตัวฝ่ายจิตวิญญาณลูกเอ๋ย เพราะเราคือผู้ปูทางในสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้าทั้งหลาย ได้เห็นได้ประจักษ์แล้วว่า พระเจ้าของเจ้าทำการได้ตลอดวันเวลา พระเจ้าของเจ้า อธิษฐานแทนเจ้าอยู่ตลอดเวลาถ้าจิตวิญญาณของเจ้าไม่มีเป้าหมายและไม่มีความสำคัญใดๆเลย ระหว่างเจ้ากับเราพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้าของเจ้าแล้วการใด จะเกิดขึ้นประจักษ์กับสายตาของเจ้าได้ลูกเอ๋ย เมื่อเจ้าอยู่ห่างไกลจากพระบิดา เจ้าไกลแสนสุดไกล และเจ้าไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าพระองค์ประทับที่ไหนเพราะ ฉะนั้นถ้อยคำที่ว่า พระเยซูคริสต์อธิษฐานแทนเจ้าอยู่ตลอดเวลาจึงไม่เกิดผล และไม่เป็นความจริงแต่ทุกถ้อยคำนี้คือความจริงว่าเราอธิษฐานกับเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในยามที่เจ้าร้องเรียกว่าอธิษฐานทูลต่อเราต่อองค์พระบิดาว่า ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เราก็จะอธิษฐานให้กับเจ้าทันทีลูกเอ๋ยในเวลานั้น เพราะฉะนั้นนี่ คือสิ่งที่เราบอกกล่าวกับเจ้าว่าจิตวิญญาณจะครองโลกได้ ถ้าเจ้าตั้งมั่นอยู่ในทุก อย่างที่กระทำตามน้ำพระทัยของเรา ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าก็จะทำการร่วมกับเจ้า ถ้าจิตวิญญาณของเจ้า ปรารถนาตรงน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าอธิษฐานไปถึงแดนผู้ตาย เอ่ยชื่อเอ่ยนาม เอ่ยบรรดาบุคคล หรือแม้เจ้าไม่รู้จัก ชื่อรู้จักนาม เหล่านี้พระเจ้าก็ทำการอธิษฐานในสิ่งเหล่านี้ให้กับเจ้าเช่นเดียวกัน และเมื่อเราอธิษฐานทูลกับองค์พระบิดาเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างจะชัดเจนลูกเอ๋ยเพราะ เหล่านี้เป็นเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณ ลูกเอ๋ย แดนผู้ตายนั้นคือจิตวิญญาณที่แท้จริงลูกเอ๋ย ไม่มีร่างกายอย่างเจ้าในเวลาเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำใดๆที่เราส่งผ่าน ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า จะทำการได้ถึงแดนผู้ตายทันทีลูกเอ๋ยผ่านเจ้า มาถึงเรา และพระเจ้าพระบิดาเจ้า ให้สิทธิอำนาจ พระสุรเสียงของเราจะถึงแดนผู้ตายในทันทีลูกเอ๋ย และสิ่งเหล่านี้ก็จะประจักษ์ชัดว่า เราอยู่ที่ไหนความรอดอยู่ที่นั่น ถ้าผู้นั้นยอมรับในนาม เชื่อในทุกอย่าง ในพระสุรเสียงของเราที่บอกกล่าว เชื่อในข่าวประเสริฐที่เรานำพาให้ลูกเอ๋ย สิ่งสำคัญถ้าเจ้าจะขอให้การอธิษฐานเผื่อแดนผู้ตาย เจ้าจะต้องอธิษฐานถึงข่าวประเสริฐของเราลูกเอ๋ย แล้วสิ่งเหล่านั้น จะถึงเขา ถึงจิตวิญญาณของเขาลูกเอ๋ย มันจะรวดเร็วกว่าการถึงเจ้าอย่างมากมาย เพราะเจ้ายังมีร่ายกายมีเนื้อหนังที่ขัดต่อเราองค์พระผู้เป็นเจ้าในหลายๆอย่างลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าในเวลาเหล่านี้พระเจ้าของเจ้าบอกความจริงให้เจ้ารู้ นี่ คือสิ่งที่ล้ำลึกที่เราบอกกับเจ้าในเวลาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจงกระทำการในทุกสิ่ง เถิดลูกเอ๋ย เราจึงบอกกับเจ้าว่า ผู้ที่ไม่เชื่อคือผู้ที่ไม่รอด ผู้ที่ไม่ยอมรับในพระนามของเราคือผู้ที่ไม่ได้รอด แต่ความรอดนี้สามารถถึงแดนผู้ตายได้ เพราะเราได้ทำตัวอย่างแล้ว เป็นอย่างแรกให้เจ้าทั้งหลายได้ยินได้ฟังได้เห็นว่า พระเจ้าทำอย่างไร เมื่อวันที่เราสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราลงไปที่ไหน เรากระทำการใดก่อนลูกเอ๋ย นี่คือน้ำพระทัยขององค์พระบิดาเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เราบอกแล้วว่าไม่มีสักสิ่งเดียวที่เราทำโดยพลการลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นเช่นนี้แหละ เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็สามารถกระทำได้ เพราะเราบอกแล้วว่า พระเจ้าทำสิ่งใดเจ้าก็ทำสิ่งนั้นได้ลูกเอ๋ย ถ้าเราทำตัวอย่างใดให้กับเจ้า เจ้าก็ กระทำได้ลูกเอ๋ย แต่การที่เจ้าจะลงไป เจ้ากระทำไม่ได้ แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่เป็นพระ ผู้ช่วยให้กับเจ้าแล้วคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเราอยู่กับเจ้าลูกเอ๋ย จิตวิญญาณ ของเจ้ากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ทูลอธิษฐานในพระนามของเรา แล้วทุกอย่างจะจำเริญและเด่นชัด และครบถ้วนบริบูรณ์ตามความ ปรารถนาของเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย

พฤหัส 12/1/95 21:15น. คำเผยพระวจนะโดยอัจฉรีย์

________________________ และสิ่งที่เจ้าทูลถามเรา ในข้อต่อมาก็คือ คำว่าบุตรชายของพระเจ้ามนุษย์ได้ทวีพงษ์พันธุ์ขึ้นนั้นเพราะบุตรชาย ของพระเจ้านั้นมีความรักมีความพึงพอใจกับบรรดาบุตรหญิงของมนุษย์ลูกเอ๋ย เหล่านี้เราสำแดงให้เจ้ารู้ว่า ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับสิทธิและเสรีภาพลูกเอ๋ย ฟ้าสวรรค์ก็มีสิทธิและเสรีภาพ แผ่นดินโลกก็มีสิทธิและเสรีภาพ แต่มีที่เดียวที่ขาดสิทธิและเสรีภาพ นั้นก็คือแดนผู้ตายลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นฟ้าสวรรค์นั้น ผู้ที่มีใจ ปรารถนาที่จะแสวงหาในสิ่งใด เขาก็จะได้สิ่งนั้น และพระเจ้าจะไม่บีบบังคับในสิ่งใดๆเลยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า ถ้อยคำที่เราบอกกับเจ้า คำว่าบุตรชายของพระเจ้า เจ้าเองก็ต้องรู้อยู่ในจิตวิญญาณของเจ้ามาโดยตลอดแล้วลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเราจึงให้ความเข้าใจเหล่านี้ว่า สิ่งที่เจ้าเข้าใจอยู่นั้นเป็นความจริงลูกเอ๋ย ถ้อยคำที่เจ้าเรียกนั้น บางครั้งก็หมายถึง บางครั้งมนุษย์จะใช้คำว่าทูตสวรรค์ เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า นั่นเป็นความจริงทั้งปวงลูกเอ๋ย ดวงวิญญาณทุกดวง นั้นถ้าจะเปรียบแล้วก็คือบุตรของเราทุกคนทุกดวงลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ในเวลานี้ ดวงวิญญาณแต่ละดวงบนสวรรค์นั้น มีสิทธิและเสรีภาพ ในการที่จะอยากรู้จะอยากเห็นในทุกสิ่งทุกอย่างลูกเอ๋ย ในการที่จะแปรเปลี่ยนสถานะภาพความเป็นอยู่ ทดลองดูเพื่อหาประสบการณ์ เหมือนดังมนุษย์ที่คอยจ้องและคอย กระทำกันอยู่เสมอในสิ่งเหล่านี้ ในการที่จะหาประสบการณ์แห่งชีวิต นั่นก็คือพื้นฐานแห่งสภาพเดิมของเจ้าทั้งสิ้น การสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์ ก็คือพื้นฐานของสภาพเดิมของเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย ในฐานะที่เจ้าอยู่สถานที่เดิมของเจ้า คือบ้านเดิมของเจ้า ลูกเอ๋ย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งหนึ่ง ที่มนุษย์ได้ติดตัวลงมาลูกเอ๋ย นั่นก็คือความอยากรู้อยากเห็น การต้องการรู้การแสวงหาในสิ่งที่จะเกิดขึ้น จะมีประสบการณ์ในชีวิต เพราะฉะนั้นเราจึงสำแดงให้เจ้ารู้ว่าบรรดาดวงวิญญาณที่จะ ลงมาคือทูตสวรรค์ที่จะลงมาสมสู่กับบุตรหญิงของมนุษย์นั้นลูกเอ๋ยมีสองลักษณะ วิญญาณหนึ่งถูกฝัดร่อนลงมาแต่วิญญาณหนึ่งต้องการลงมาด้วยสิทธิและเสรี ภาพที่เขามีอยู่ในดวงวิญญาณแต่ละดวงนั้นลูกเอ๋ย พระเจ้ามีขอบเขตให้เสมอ สำหรับสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้ลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า เมื่อเขาปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ เราก็ให้ในสิ่งเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นลูกเอ๋ย และสิ่งหนึ่งที่เป็นน้ำพระทัยของเราในเวลานั้นก็คือ เราต้องการให้พงษ์พันธุ์นั้นขยายและมีทวีขึ้น มีทวีคูณมากขึ้นลูกเอ๋ย และเป็นแผนการหนึ่งที่พระเจ้าดำเนินการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ จึงสอดคล้อง ซึ่งเป็นน้ำพระทัยของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าลูกเอ๋ย แต่ในเวลาเดียวกัน มันขึ้นกับสิทธิและเสรีภาพของแต่ละดวงวิญญาณหรือจิตวิญญาณนั่นแหละลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นสภาพเดิมที่แท้จริงของพวกเจ้าเป็นเช่นใด เจ้าก็จงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เถิดลูกเอ๋ย เจ้ามิได้แตกต่างไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามากมายเท่าใดเลยลูกเอ๋ย จะแตกต่างก็เพียงสภาพจิตวิญญาณเท่านั้นเองลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ในเวลานี้ นั้นเป็นความจริงว่า คำว่าบุตรชายของพระเจ้าในเวลานั้นก็คือ ฑูตสวรรค์ต่างๆที่ลงมาจากฟ้าสวรรค์นั้นเองลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าเข้าใจ เมื่อเจ้าได้เรียนเมื่อเจ้าได้ศึกษา มาโดยตลอดจงแจ้งในจิตวิญญาณของเจ้าเถิดว่าเหล่านี้เป็นความจริง ลูกเอ๋ย เหล่า นี้เป็นความจริงทั้งปวงลูกเอ๋ย ถ้ามนุษย์บังเกิดเพียงมนุษย์คู่แรกเอ๋ย เจ้าพิจารณาและไตร่ตรองด้วยเหตุผลของเจ้าซิว่า การทวีพงษ์พันธุ์นั้น มันช้านาน และยาวไกลเพียงใดลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้น สายแห่งการสืบพันธุ์ของมนุษย์นั้น ก็จะสั้น และจะไม่มีแขนง จะไม่มีกิ่งก้าน ไม่มีสาขาใดๆเลยลูกเอ๋ย มันก็จะมาทางเดียวกันหมด สายเดียวกันหมดลูกเอ๋ย ไม่มีกิ่งก้านและสาขาใดๆ เพราะฉะนั้นให้เจ้าพินิจพิจารณาในสิ่งเหล่านี้เถิดว่า แผนการต่างๆที่จะทวีพงษ์พันธุ์ ก็อยู่ในแผนการของพระองค์ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าจึงเป็นผู้ กำหนดและบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น จะต้องขึ้นกับสิทธิและเสรีภาพของดวงวิญญาณแต่ละดวงด้วยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นความปรารถนาแห่งดวงวิญญาณใด มีความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจึงโปรดประทานให้ เพราะนั่นอยู่ในแผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เราบอกความจริงให้เจ้าได้เข้าใจในลักษณะเช่นนี้ จงพิจารณาและใคร่ครวญในเวลานี้เถิดลูกเอ๋ย นี่คือความจริงลูกเอ๋ยตอบสั้นและ ง่ายๆบุตรชายของพระเจ้าก็คือเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่บนฟ้าสวรรค์นั่นเองลูกเอ๋ย

[อธิษฐานทูลถามว่า ฑูตสวรรค์เอาร่ายกายจากไหน พระองค์สร้างมนุษย์คู่อื่นๆ ด้วยหรือ]

ลูกเอ๋ย อาดัมและอีวาเป็นผลงานชิ้นแรกของเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นความโดดเด่น ในมนุษย์คู่แรกนี้ จึงปรากฏและชัดเจน กว่าสิ่งอื่นใดลูกเอ๋ย เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้า ต้องการที่จะให้มนุษย์อยู่บนแผ่นดินโลกนี้ เพื่อสรรเสริญเพื่อคุยกับเราองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นจงรู้เถิดว่า บรรดาดวงวิญญาณต่างๆที่ลงมานั้นลูกเอ๋ย เราให้สิทธิและเสรีภาพในการลงมาบังเกิดลูกเอ๋ย นั่นก็คือ ทุกอย่างจะต้องเข้าสู่กายดินทั้งสิ้นลูกเอ๋ย มิใช่ลงมาในร่างกายของทูตสวรรค์ แล้วลงมาแปรเปลี่ยนสภาพใดๆ ด้วยความเข้าใจของเจ้า หรือหลายๆคนถ้าได้ยินข้อความเหล่านี้ จะตีความหมายว่า ฑูตสวรรค์ลงมาแล้วแปรสภาพเป็นมนุษย์ หรือเปลี่ยนร่างกายเป็นมนุษย์ แล้วมาสมสู่กับบุตรหญิงของมนุษย์ นั้นหาใช่ไม่ลูกเอ๋ย เมื่อทุกดวงวิญญาณจะลงมาจากฟ้าสวรรค์ สภาพเดิมของเขาจะหมดสิ้น ลง มาได้อย่างเดียวคือดวงวิญญาณเท่านั้นลูกเอ๋ย แต่กายดินที่เราพระเจ้าเสริมสร้างให้นั้น จะเป็นดวงวิญญาณของเขาที่เข้าสู่กายดินอีกทีหนึ่ง เหมือนที่เราบอกกับเจ้าว่า เราให้ลมปราณของพระเจ้า เข้าสู่อาดัมและอีวานั่นแหละลูกเอ๋ย จะเป็นลักษณะเดียวกัน แต่ดวงวิญญาณนี้ จะเป็นความปรารถนาที่เริ่มต้น เป็นเหมือนอย่างมนุษย์คู่แรก ที่เราทรงสร้างและทรงปั้นขึ้นลูกเอ๋ย พื้นฐานของมนุษย์คู่แรกที่เราทรงสร้างและปั้นขึ้น จึงเป็นตัวอย่างลักษณะของมนุษย์ต่อๆไปลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพิจารณาและใคร่ครวญเถิดว่า การขยายพงษ์พันธุ์ของมนุษย์นั้นเป็นลักษณะเช่นใด ถ้าเจ้าสืบ สายมาจากเฉพาะอาดัมหรืออีวาเท่านั้น การสืบพันธุ์ของเจ้า มันจะยาวไกลในลักษณะที่รวดเร็วหรือเปล่าลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงพิจารณาและใคร่ครวญเถิดลูกเอ๋ย พระเจ้าต้องการให้มนุษย์นั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป มนุษย์ทำผิดต่อพระเจ้า พระเจ้าก็ยังแสวงหาว่า มีแผนการว่า จะนำสิ่งดีสู่ชีวิตของมนุษย์ลูกเอ๋ย เราจึงให้ดวงวิญญาณทั้งดี และทั้งมีความผิด ลงมาในเวลาเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นการร้ายใดนั้น ที่จะเกิดขึ้น ก็อยู่ในน้ำพระทัยในราชกิจของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในวาระเหล่านั้น เราจึงมีแผนการต่างๆที่จะนำพาให้มนุษย์นั้น ได้รู้ถึงการกระทำ ได้รู้ถึงความถูกต้อง ได้รู้ถึงความผิดอย่างชัดเจนลูกเอ๋ย เพราะเมื่อมนุษย์แสวงหาที่จะรู้ถึงความดีความชอบ ความดีความชั่ว เรา พระเจ้าจะต้องแยกแยะให้เห็นอย่างชัดเจนลูกเอ๋ย และจะต้องชัดเจนทั้งสิ้น จากพงษ์พันธุ์ของมนุษย์ที่บังเกิดขึ้น ต่อๆกันมานั้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งดี ทั้งชั่ว ลงมาปะปนกัน ในสายเลือดแห่งการสืบพันธุ์ทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นในเวลาเหล่านี้ เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่าเราสร้างมนุษย์คู่แรกคืออาดัมและอีวา คู่ต่อๆมา เป็นใจสมัครของดวงวิญญาณทั้งสิ้น ที่เห็นตัวอย่างแล้วว่าเมื่อมีมนุษย์ เกิดขึ้นในแผ่นดินโลกนั้นความเป็นอยู่เป็นลักษณะเช่นใด ความปรารถนาแห่งดวงวิญญาณแหล่านั้น ก็ต้องการที่จะแสวงหา และรู้ประสบการณ์ของการเกิดเป็นมนุษย์ว่า จะบังเกิดและดำเนินเช่นใดพูดง่ายๆคือการหาประสบการณ์ของแต่ละดวงวิญญาณเท่านั้นเองลูกเอ๋ย และเมื่อถึงวาระเขาก็ได้กลับสู่สภาพเดิมเช่นเดียวกัน นี่เราบอกความจริงให้เจ้ารู้ว่า บรรดาดวงวิญญาณที่ลงมานั้น เขาจะได้กลับสู่ สภาพเดิมลูกเอ๋ย เป็นความจริงที่เราบอกกับเจ้าว่า เรายอมให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นลงมา เพื่อให้มนุษย์เห็นความดีความชั่วชัดเจนขึ้น ตามใจปรารถนาของเขาทั้งสิ้นลูกเอ๋ย เราจึงแบ่งให้เห็นถึงสายพันธุ์ว่า สายพันธุ์ที่ดีและที่ชั่วจะต้องลงมาปะปนกับมนุษย์อย่างชัดเจน แล้วจะถูกแยกแยะออกให้เห็นอย่างชัดเจนตามความปรารถนาของบรรพบุรุษของเจ้าลูกเอ๋ย เพราะเราบอกแล้วว่า สิ่งใดที่เป็นความปรารถนาและเจ้าแสวงหา เราจะให้ในสิ่งนั้น ดังที่เราบอกว่า สิ่งใดที่เป็นความ ปรารถนาและเจ้าแสวงหา เราจะให้ในสิ่งนั้น ดังที่เราบอกว่า เจ้าแสวงหาเงินเจ้าจะพบเงิน เจ้าแสวงหาเราเจ้าจะพบเราลูกเอ๋ย

 
 
 
  บทที่ 4 ซามูเอล  
 
 
  • บทที่ 2 หน้าที่ 10 ถึง 22 พิมพ์โดย คุณประสิทธิ์
  • บทที่ 3 หน้าที่ 23 ถึง 43 พิมพ์โดย คุณประสิทธิ์