หน้าที่ของผู้เชื่อ (Duties of Believers)
สารบัญหลัก (Content)
 

 

เทศนาโดย อ.สุเมธ วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2002

Ceased not to teach and preach Jesus Christ.

 
 
 
 

ก่อนเทศนา นมัสการสรรเสริญพระเจ้า ด้วยบทเพลง

  • เชิญมาร้องสรรเสริญ
  • องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
  • ขอให้พระสิริ

มีพี่น้องเป็นพยาน 5-7 คน แล้วนมัสการสรรเสริญพระเจ้า ด้วยบทเพลง

  • พระเยซูผู้สมควรสรรเสริญ
  • โลหิตพระคริสต์ทรงชำระข้า
  • สรรเสริญ สดุดี
  • สรรเสริญองค์บริสุทธิ์
หลังจากเพลงจบ มีคำเผยพระวจนะโดยทรง อ.อัจฉรีย์ ดังนี้

ลูกทั้งหลายเอ๋ย ถ้าเจ้ามองดูเราพระเจ้า และเจ้ามีความแน่ใจ มั่นใจ มีความเชื่ออยู่ในจิตวิญญาณของเจ้าแล้วละก็ เจ้าจะแลเห็นความยิ่งใหญ่ของเรา แลเห็นความมั่นคงของเรา ซึ่งสำแดงด้วยความรักซึ่งกอปรด้วยพระเมตตา พระกรุณาที่มีต่อบรรดาพวกเจ้าทั้งหลาย และเราเองนั้นสำแดงเสมอลูกเอ๋ยว่า เรามิเคยเลือกรัก หรือเลือกให้ เราสำแดงตนเองของเราตลอดเวลาว่าเราสำแดงกระบวนการทั้งปวง ยอมที่จะแลกเปลี่ยนเพื่อให้เจ้าทั้งหลายได้มา แม้เราจะต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าอย่างมากมายเพียงใดก็ตาม เราก็กระทำ และบัดนี้เราได้กระทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงยืนยันถ้อยคำของเรา โดยความรักของเราให้กับพวกเจ้าทั้งหลายได้แลเห็นว่า เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ และสัตย์จริงอย่างแท้จริง เรารักษาคำมั่นสัญญาเสมอ และเราสำแดงเสมอว่าสิ่งใดก็ตามที่เราตรัสแล้ว เราจะไม่คืนคำ และเราจะกระทำให้สำเร็จ เพราะทุกครั้งที่เราได้ส่งถ้อยคำของเราออกมา เราก็ได้เฝ้ามองดูเพื่อที่จะกระทำให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นพระสัญญาของเราวางไว้อย่างชัดเจนว่า บรรดาผู้คนที่ลุกขึ้นเพื่อปรนนิบัติรับใช้เราสำแดงตนเองอยู่เสมอว่าปรารถนาที่จะกระทำการทั้งปวงเป็นที่ถวายเกียรติแด่เรา ยอมจำนนกับเรา แม้ลูกหลานของเขา เราพระเจ้าก็จะเฝ้าเอาใจใส่ และมองดูอยู่เป็นนิจถึงพันชั่วอายุคน เพราะฉนั้นลูกหลานของบรรดาผู้คนที่เป็นคนของพระเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะบริบูรณ์อยู่ด้วยการเหล่านี้เสมอ แม้มีความผิดเราพระเจ้าก็ยืนยันว่าการตีสอนของเรามีแต่เราจะไม่กระทำให้ถึงตาย นั่นคือความจริงเพราะฉนั้นนี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายังคงประกาศถ้อยคำของเราในท่ามกลางพวกเจ้า เพื่อให้เจ้าทั้งหลายนั้นยืนยันถึงความชัดเจนแห่งจิตวิญญาณว่า เจ้าจะกล้าหาญที่จะลุกขึ้นเพื่อเป็นคนงานที่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าใช้การได้ และพระสัญญาของเราจะตกทอดไปยังครอบครัวเรือนของเจ้า บุตรหลานของเจ้าอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีคำว่าพลิกแพลงหรือบิดพลิ้วเลย เราจะรักษาคำมั่นสัญญานี้เอาไว้ในทุกสิ่งสารพัดที่เราพระเจ้ายืนยันว่าเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยุ่ เราดำรงชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะกระทำให้สัญญานี้สำเร็จตลอดวันเวลาตามถ้อยคำที่เราได้ตรัสเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยัน และตรัสแก่พวกเจ้าเวลาเหล่านี้เราประทานชัยชนะ ความสำเร็จให้กับพวกเจ้าสิ้นทุกคนอย่ากลัวปัญหาใด ๆ แม้มันจะใหญ่โตจนเหมือนมองดูเป็นกำแพงสูงใหญ่ที่เจ้าไม่สามารถข้ามไปได้ แต่เรายืนยันว่าในชัยชนะครั้งนี้ เราจะประทานกำลังให้เจ้าทั้งหลายข้ามพ้นกำแพงนี้ได้ และเจ้าทั้งหลายก็จะแลเห็นความจริงในทุกสิ่งที่เราพระเจ้าทรงตรัส แม้ในใจของหลาย ๆ คน อาจกล่าวว่ามันเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อปัญหานั้นใหญ่โตเหลือเกิน มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราจะตรัสกับคนทั้งหลายที่มีใจระลึกเช่นนี้เสมอลูกเอ๋ยว่า เราจะให้เจ้าทั้งหลายได้รู้ว่าเราคือพระเจ้าที่สำแดงกระบวนการอยู่ในท่ามกลางพวกเจ้าจริง และเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดนี่คือสิ่งที่เราจะพูดกับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่มีความแน่ใจ และคิดว่าการเผชิญปัญหาใหญ่โตนั้นไม่สามารถผ่านมันได้เรายืนยันแก่พวกเจ้าสิ้นทุกคนลูกเอ๋ยว่า เราจะนำพาให้เจ้าทั้งหลายได้แลเห็นนี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยันและประกาศด้วยถ้อยคำของเรา เพราะฉะนั้นจงให้มีความแน่ใจในเราพระเจ้าเสมอ วิเคราะห์ตนเองเอาไว้ให้เป็นสำคัญฉลาดที่จะไม่บ่มตัณหาใด ๆ เอาไว้ในตนเอง อย่าให้ความอยากกลับกลายมาเป็นอันตราย เป็นหอกข้างแคร่ที่ทิ่มแทงตัวของเจ้าเองจนเข้าสู่กระบวนการประทุษร้ายตนเองโดยหารู้ตัวไม่เราตรัสบอกกับเจ้าทั้งหลายไว้แล้วโดยถ้อยคำของเราว่าตัณหาของมนุษย์นั้นทำให้เกิดความบาป และความบาปนำไปสู่ความตาย เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่สั่งสมตัณหาในใจอยู่เสมอ เขาก็สั่งสมความบาปเอาไว้ในตนเอง แล้วกระบวนการที่จะเข้าสู่ความมีชีวิต การรุ่งเรือง ก็ไม่สามารถสัมผัสได้เพราะฉนั้นเราจึงย้ำเตือนเจ้าทั้งหลายอีกวาระหนึ่งแม้พระสัญญาแห่งความยิ่งใหญ่ในการทรงเป็นพระเจ้าของเราถึงเปิดออกตลอดวันเวลาในท่ามกลางมนุษย์ที่นับถือเรา เราพระเจ้าก็ยืนยันว่าแต่สิ่งสำคัญในจิตวิญญาณมนุษย์ มนุษย์จะต้องรักษาสิ่งดีที่จะต้องประพฤติตามคำสั่งสอนของเรา เหมือนที่เราบอกแล้วว่าคำสอนของเราไม่ใช่เป็นเพียงคำสอนธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไปที่จะให้มนุษย์ได้จดจำ แต่คำสอนของเราเป็นคำสั่งด้วยลูกเอ๋ย เป็นคำสั่งที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายประพฤติตามคำสอนของเรา เพราะฉนั้นคำสั่งสอนของเราจึงเป็นความชัดเจนที่อยู่ในทุกชีวิตวิญญาณจิตของมนุษย์ว่า พระเจ้าจะแนะนำตักเตือนด้วยสิ่งดีอันใดก็ตาม ตามถ้อยคำของพระองค์ พระองค์ยืนยันสิ่งดีเหล่านั้นให้มนุษย์ประพฤติตามด้วย เพราะนั่นคือน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์นั้นทำตามพระบัญชา เพราะฉนั้นผู้ที่เรียนรู้คำสั่งสอนของเราจงจดจำเอาไว้อย่างแม่นยำในจิตวิญญาณว่าอย่ารู้แต่เป็นเพียงการแนะนำคำตักเตือน แต่ต้องยึดว่านั่นเป็นคำสั่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนประพฤติตามถ้อยคำของพระองค์ แล้วความจำเริญจะเกิดผลอย่างมากมายในท่ามกลางชีวิตของคนทั้งหลายเช่นนั้น เราพระเจ้ายืนยันถ้อยคำของเราว่า เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงรักษาสัญญาทุกอย่างที่เราได้ยืนกรานเอาไว้แล้ว ด้วยถ้อยคำของเราว่าเราจะกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้กับพวกเจ้าในลักษณะใด ๆ เพราะฉะนั้นเจ้าทั้งหลายเองก็ต้องมีความแน่ใจ สิ่งใดที่เจ้าได้กล่าวออกไปแล้วด้วยถ้อยคำของเจ้า และยืนยันอยู่ในจิตวิญญาณเสมอที่จะระลึกและจะกระทำตามเราก็จงรักษาสิ่งนั้นให้เป็นผลออกมาทั้งสำแดงการประพฤติได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่เราผลนั้นจะมีมาถึงเรา และเราจะปีติยินดีผู้ใดที่ถวายผลทั้งปวงกับเราพระเจ้าได้ เราพระเจ้ายืนยันว่าผลของเขาจะไม่สูญเปล่าไม่แล้งเปล่า ไม่แห้งแล้ง แต่จะเกิดผลนำสู่ชีวิตคืนกลับหมดนั่นคือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยันว่าเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงตอบแทนและเราจะสำแดงการตอบแทนของเราเสมอแก่บรรดาทุกผู้ทุกนามที่นำผลนั้นมาถวายแด่เรา เรายืนยันลูกเอ๋ยผลนั้นจะบริบูรณ์ด้วยการคืนกลับจากพระเจ้า และเราจะคืนให้คนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นร้อยเท่าแน่นอนลูกเอ๋ย

เทศนา เรื่อง หน้าที่ของผู้เชื่อ

ให้แผ่นดินโลกหล้าเต็มด้วยพระสิริ ให้แผ่นดินโลกหล้าเต็มด้วยพระสิริ ให้แผ่นดินโลกหล้าเต็มด้วยพระสิริ ขอให้พระสิริ ของพระเจ้าปกเกล้าเหนือข้าฯ โปรดสถาปนา ภัทรกิจสัมฤทธิ์ผลด้วยเทอญ

บทเพลงที่ร้องสรรเสริญในวันนี้ สอดคล้องกับพระวจนะที่จะเทศนาในวันนี้

ทำไมพระเยซูไม่เขียนพระคัมภีร์ด้วยพระองค์เอง พระองค์เขียนหนังสือไม่เป็นหรือเปล่า ไม่ใช่ แต่เพราะ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงนำให้ผู้อื่นเขียนแทนพระองค์ เปาโลก็ไม่ได้เขียนพระคัมภีร์(จดหมาย)เอง บอกให้ผู้อื่นเขียนตามที่พูด

ขอเล่าเรื่องให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่องอะมาดิอุส อะมาดิอุสเป็นชื่อกลางของชายคนหนึ่ง ชื่อเต็มของเขาคือ วูฟกัง อะมาดิอุส โมสาด (Mozart) คงจะรู้จักกันนะ เขาเป็นนักประพันธ์ดนตรีชื่อดัง แต่ผู้ที่เล่าเรื่องนี้คือ หัวหน้านักดนตรีเอกของกษัตริย์ประเทศเยอรมัน ในสมัยนั้น หัวหน้านักดนตรีผู้นี้สารภาพบาปกับบาทหลวงว่า เขาเป็นผู้ฆ่าโมสาด เขาหมายถึงเขาเป็นสาเหตุให้โมสาดตาย โมสาดตายตอนอายุ 37 ปี ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ โมสาดตายไปแล้ว 30 กว่าปี

เขาสารภาพว่า ตอนเขาวัยรุ่นเขาเห็นโมสาดอายุ 12 ปี เล่นดนตรีได้เก่ง ก็อยากเป็นบ้าง แต่บิดาของเขาไม่ยอมให้เรียน บอกว่าคนเล่นดนตรีเป็นพวกชั้นต่ำ เขาจึงขอกับพระเจ้า วันหนึ่งบิดาของเขาทานอาหารอยู่กับบ้าน ก็เกิดอาหารติดคอ และก็เสียชีวิต หัวหน้านักดนตรี เขาขอบคุณพระเจ้า ที่พ่อเขาตาย และเขาได้เรียนดนตรี ต่อๆมาเขาก็ได้เป็นถึงหัวหน้านักดนตรีของกษัตริย์ เหมือนกับเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่ง โมสาดเป็นคนอีกประเทศหนึ่ง ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในเมืองเดียวกันกับหัวหน้านักดนตรี

หัวหน้านักดนตรี กล่าวว่า พระเจ้าประทานความสามารถทางดนตรีให้เขาแล้ว ทำไมจึงให้โมสาดเก่งกว่าเขา พระเจ้าลำเอียง เขาก็โกรธพระเจ้า เขากล่าวว่า โมสาดเป็นคนขี้เล่นและชอบหัวเราะอย่างน่าเกลียด พระเจ้าประทานความสามารถทางดนตรีให้เขาได้อย่างไร เขาจึงหาทางที่จะฆ่าโมสาด เพื่อจะเยาะเย้ยพระเจ้า อาชีพของโมสาดคือ ประพันธ์เพลงโอเปล่า คืนวันหนึ่ง หัวหน้านักดนตรีใส่หน้ากาก ไปจ้างให้โมสาดเขึยน บทเพลงงานศพ เขาสารภาพกับบาทหลวงว่า เขาจะหาทางใดทางหนึ่งฆ่าโมสาดให้ได้ แล้วเอาบทเพลงงานศพที่โมสาดแต่ง มาบรรเลงในงานศพของโมสาดเอง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ภรรยาของโมสาด แอบเอางานประพันธ์โอเปล่า มาเสนอหัวหน้านักดนตรีให้นำเสนอกษัตริย์ ภรรยาโมสาดบอกว่า นี่เป็นต้นฉบับ ยังไม่ได้ทำสำเนา หัวหน้านักดนตรีจึงเปิดดู เขาจึงนึกในใจว่า บทเพลงชุดนี้ไม่มีรอยแก้ไขเลย เหมือนมีคนบอกให้เขียน ชะรอยพระเจ้าจะทรงบอกให้เขาเขียน ความโกรธความอิจฉาและความทึ่งก็บังเกิดขึ้น เขาหาว่าเสียงหัวเราะของโมสาดนั้น เป็นเหมือนเสียงของพระเจ้าหัวเราะเยาะเย้ยเขา แต่เขาเองก็ชื่นชมเพลงก็โมสาด แอบไปดูโอเปล่าของโมสาดทุกเรื่อง

หนึ่งวันก่อนโมสาดตาย โมสาดกำกับโอเปล่า และเพราะป่วยอยู่เนื่องจากทำงานหนักเกินไป จึงล้มลงในโรงโอเปล่า หัวหน้านักดนตรีเป็นผู้นำโมสาดกลับบ้าน และดูแลโมสาดจนดึก โมสาดฟื้นขึ้นมา นอนอยู่บนเตียง หน้าซีด บอกกับหัวหน้านักดนตรีว่า เขาจำเป็นต้องทำงานมาก เพราะเงินไม่ค่อยพอ เขามีงานอีกชิ้นหนึ่งที่ยังเขียนไม่เสร็จ คือ เพลงงานศพ เขาอยากเขียนตอนนี้ แต่ไม่มีกำลังเขียน จึงขอให้หัวหน้านักดนตรีเขียนแทนเขา เขาจะเป็นผู้บอกให้เขียน หลายตอนที่หัวหน้านักดนตรีเขียนตามที่โมสาดบอกไม่ได้ ไม่เข้าใจ โมสาดจึงอธิบายละเอียดขึ้น เขาจึงบันทึกได้ จนถึงเช้า ทั้งคู่ก็หลับไป โมสาดตายในตอนเช้านี้เอง

หัวหน้านักดนตรีสารภาพกับบาปหลวงว่า เขารู้สึกเสียใจมากที่ทำให้โมสาดตาย เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่พระเจ้าก็ให้เขาอยู่มาอีก 30 กว่าปี ก็ไม่ตายสักท ีด้วยความทุกข์ทรมานในจิตใจ

เรื่องนี้เล่าให้ฟังเพราะว่า พระเจ้าทรงนำ บางสิ่งบางอย่าง และบางคน ทำไม่ได้หรอก แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ โมสาดไม่รู้ตัวเลยว่า พระเจ้าทรงนำ ลูกาเองเขียนพระธรรมลูกา ไม่รู้เลยว่าพระเจ้าทรงนำให้เขียน พระธรรมกิจการของอัครทูต (Acts) เขียนโดยท่านลูกา ราว ค.ศ. 63 ลูกาเป็นแพทย์ที่พระเจ้าทรงรัก

พระธรรมกิจการของอัครทูต เป็น

  • เรื่องราวของพระวิญญาณบริสุทธิ์
  • เรื่องของบรรดาอัครทูตยืนยันถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
  • การกระจายของผู้เชื่อในพระคริสต์
  • งานรับใช้ของเปาโลสู่คนต่างด้าว
  • ขยายความพระคำใน มก 16:20
  • บันทึกการเสด็จลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์เหนือคริสตจักรใหม่
  • พูดถึงอาณาจักร 1000 ปี ตลอดทั้งเล่ม
  • คนต่างด้าวได้รับความรอดและจะรับผิดชอบพระกิตติคุณแทนอิสราเอล(ยิว) (มธ 21:33-46 , 23:37-39 , ยน 10:16)
  • มีการสำรวจธรรมบัญญัติของโมเสส และในที่สุดสรุปว่า คริสเตียนไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ

Ceased not to teach and preach Jesus Christ. อย่าอยุดที่จะสั่งสอนและเทศนาเรื่องพระเยซูคริสต์ (กจ 5:42)

หน้าที่ประจำวันของคริสเตียน 10 ประการ (Ten daily duties of Christians)

  1. อธิษฐาน (Prayers) (มธ 6:11 , ลก 11:3)
  2. รับกางเขนของตน (Take up daily cross) ลก 9:23 "เอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา" (If any man will come after me, let him deny himself and take up his cross daily and follow me.) พระวจนะตอนนี้ไม่ได้เขียนว่า ตรึงกางเขนตนเอง หรือ ตรึงเนื้อหนัง แต่บอกให้แบกกางเขนของตน
    • เอาชนะตนเอง หรือ ปฏิเสธตนเอง มีตัวอย่างในพระคัมภีร์คือ
      • อับราฮัม ปฐม 13:9 (อับรามแยกกับโลท) ปฐม 22:1-12 อับราฮัมถวายอิสอัค
      • โมเสส ฮบ 11:25 , กดว 16:15 (กบฎโคราห์)
      • ซามูเอล 1 ซมอ 12:3-4
      • หญิงม่ายชาวศาเรฟัท 1 พกษ 17:8-16
      • เอสเตอร์ อสธ 4:16
      • เรคาบ ยรม 35:3-4
      • อัครทูต กจ 20:24
  3. รวมกันอย่างสม่ำเสมอ (Continue in one accord) กจ 2:46 "เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดี และใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป" หรือหมายถึง รวมกันในโบสถ์ รวมกันในกลุ่มเซลล์ตามบ้าน ร่วมรับประทานอาหาร หลังนมัสการสรรเสริญและฟังคำเทศนาในวันอาทิตย์ น่าจะมีการร่วมกันรับประทานอาหาร จึงจะถูกต้องกว่า
  4. สอน มธ 26:55 , ลก 19:47
  5. นำคนมารับความรอด (Win souls) กจ 2:47 , 16:5
  6. ประกาศพระเยซู (Preach Jesus) กจ 5:42
  7. ค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน (Search the scriptures) กจ 17:11
  8. สัมมนาข้อพระคำ (สนทนาพระคัมภีร์) (Discuss scriptures) กจ 19:9
  9. มีความรับผิดชอบ มีความห่วงใยคริสตจักร (Carry resopnsibility) 2คร 11:28 "the care of all the churches"
  10. เตือนสติกันและกันทุกวัน (Exhort one another) ฮบ 3:13 "ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า "วันนี้" เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่าน มีใจแข็งกระด้างไป เพราะเล่ห์กลของบาป"

 

 
  หลังเทศนา อธิษฐานแล้ว มีคำเผยพระวจนะโดยทาง อ.อัจฉรีย์  
  ที่หูของพวกเจ้าได้ยิน เป็นสิ่งที่ทุกผู้ทุกนามทำได้ และถ้าหากแสวงหาเฝ้าอุตสาหะแล้ว เจ้าจะทำได้ทั้งหมด และเราพระเจ้าก็ยืนยันกับเจ้าลูกเอ๋ยว่าเราปรารถนาที่จะแลเห็นพวกเจ้าทั้งหลายเข้าให้ถึง และซึ้งในคำว่าทุกวันของพวกเจ้า เพราะเราพระเจ้าเฝ้าสำแดงพระองค์เองของเราในท่ามกลางพวกเจ้า ตลอดเวลาทุกวันของพวกเจ้าไม่เคยมีวันที่เราพระเจ้าหยุดนิ่งในการเคลื่อนไหวที่จะไม่สำแดงการเอาพระทัยใส่ในท่ามกลางทุกชีวิตของพวกเจ้า เพราะฉะนั้นจงมีมุมมองที่คมชัดเสมอในเราพระเจ้า และเราพระเจ้าก็ยืนยันกับเจ้าลูกเอ๋ยว่าไม่มีสิ่งใดที่ยากที่เจ้าทั้งหลายจะทำไม่ได้หากเจ้าเป็นผู้คนที่แสวงหา และอุตสาหะเสมอ ความอดทนจะทำให้เจ้าทั้งหลายทำได้และในกระบวนการที่เจ้าเฝ้าอุตสาหะจะทำให้เจ้าทำได้ และเหนือสิ่งอื่นใดที่เจ้าทั้งหลายจะกระทำได้นั่นคือเจ้าทั้งหลายรักเราจริง ถ้าหากเจ้าทั้งหลายรักเราจริง เจ้าจะทำตามคำสั่งสอนของเราพระเจ้าได้ทั้งหมด และจะไม่มีสิ่งใดยากเกินสำหรับพวกเจ้าเลยลูกเอ๋ย เพราะฉะนั้นถ้อยคำของเราจึงเป็นถ้อยคำที่ชัดเจนนำความสว่างมายังเจ้า ชีวิตของบรรดาผู้เชื่อในเราพระเจ้าเป็นชีวิตที่สำแดงกระบวนการว่าผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิต เพราะฉนั้นทุกกระบวนการแห่งชีวิตของผู้เชื่อในเราพระเจ้าจะต้องสำแดงรูปแบบเสมอว่าใหม่ทุกวัน และสำแดงทุกสิ่งสารพัดด้วยความชัดเจนทุกวันกับพระเจ้าไม่เคยละทิ้งในสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสำแดงไว้แล้วว่านั่นแหละคือกระบวนการที่นำไปสู่ชีวิต ถ้าหากเจ้าทอดทิ้งหรือปฏิเสธ เจ้าก็ปฏิเสธชีวิตของตัวเอง เพราะตลอดวันเวลา ตัวตนเก่าของพวกเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นกระบวนการของชีวิต แต่เป็นกระบวนการที่นำเจ้าทั้งหลายสู่ความตาย เพราะนั่นคือสิ่งเก่า และเป็นกระบวนการที่ถูกปลูกฝังไว้ด้วยบาปซึ่งจารึกไว้เสมอสำหรับมนุษย์ และในมนุษย์ มนุษย์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงวิถึเหล่านี้ได้หากมนุษย์นั้นไม่สัมพันธ์สนิทและสำแดงชีวิตของเขาทุกวันกับพระเจ้า เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เราพระเจ้าจึงยืนยัน มนุษย์ไม่มีวันจะหลุดพ้นกับคำว่าไม่บาป เพราะมนุษย์ถูกอยู่ในสภาพของบาปแล้วลูกเอ๋ย ต่อให้มนุษย์มีหน้าตาแบบใด สำแดงตนเองว่ามีเชื้อชาติดี วงศ์ตระกูลดี มาจากกระบวนการสายเลือดที่ดีก็ตามในมนุษย์ก็อยู่ในสภาพของบาป บาปจารึกอยู่ในมนุษย์แล้วอย่างอัตโนมัติเหมือนที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จักเป็นอย่างดีกับคำเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยันแก่พวกเจ้าว่าเราพระเจ้าปรารถนาที่จะแลเห็นเจ้าทั้งหลายมีสภาพใหม่ คือสภาพที่ไม่บาปทุกวันของเจ้า หากปฏิบัติในการเหล่านี้ได้เจ้าจะพ้นจากสภาพบาป เพราะกระบวนการของความบาปยังคอยวนเวียนที่จะฉุดคร่าให้พวกเจ้าทั้งหลายให้เข้าสู่สภาพที่มันปรารถนาให้เป็น เพราะฉนั้นจำเป็นที่เจ้าทั้งหลายจะต้องสำแดงกระบวนการเสมอว่าปฏิเสธตนเองอย่างสิ้นเชิงยอมรับและโน้มนำความเชื่อไปจนถึงการยอมถ่อมกายถ่อมใจลง และเชื่อฟังในองค์พระคริสต์ของเจ้านั่นแหละคือความไพบูลย์ที่จะเยี่ยมเยียนชีวิตของผู้คนทั้งหลายอยู่เสมอ เราปรารถนาที่จะให้เจ้าทั้งหลายมองดู และพินิจพิเคราะห์ในทุก ๆ สิ่ง แม้กระทั่งถ้อยคำหนึ่งที่จารึกลง และสำแดงกระบวนการปลุกวิญญาณของเจ้าทั้งหลายให้เข้าส่วนว่าจงมีภาระใจกับทุกคริสตจักร หรือทุกกระบวนการที่สำแดง และรวมตัวขึ้น เพื่อตั้งขึ้นด้วยพระนามของเรา นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยัน แต่ก็ยังมีข้อหนึ่งที่เราแนะนำกับเจ้า เพราะในเวลาเหล่านี้ไม่ใช่ทุกสถานที่หรือทุกสิ่งที่เรานั้นสำแดงกระบวนการว่าเป็นอำนาจที่มาจากเบื้องบนอย่างแท้จริงนี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องร้อนรน คำว่าร้อนรนในชีวิตจิตวิญญาณของพวกเจ้านั่นก็คือสิ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องใคร่ครวญ และพินิจพิเคราะห์ในทุกสิ่งในทุกสถานที่เหล่านั้นลูกเอ๋ย เพราะมิฉะนั้น เปาโลอัครทูตของเราคงจะไม่สำแดงกระบวนการว่าแต่เดิมนั้นเขาสั่งสอนทุกวันในธรรมศาลาเป็นเวลาถึง 3 เดือน แต่สุดท้าย เพราะเหตุที่มีคนใจแข็งกระด้างมากในธรรมศาลานั้น ๆ เปาโลจำเป็นจึงต้องแยกตัวออก และเข้ามาอยู่ในวาระแห่งการร่วมประชุมใหม่ ในห้องประชุมใหม่ ซึ่งสำแดงกระบวนการอย่างชัดเจนว่านี่ก็คือลักษณะหนึ่งที่เปาโลร้อนรน นี่คือวาระแห่งความจริงแห่งถ้อยคำของเรา การร้อนรนต่อคริสตจักรก็คือการกระทำตัวเองอย่างถูกต้องต่อคริสตจักรในทุกสถานที่ที่เจ้าทั้งหลายเป็นอยู่ หากสถานที่หนึ่งที่ใดสำแดงการเป็นธรรมศาลาของพระเจ้า แต่มีรูปแบบซึ่งไม่ถูกต้อง แม้กระทั่งกระบวนการทั้งปวงที่สำแดง และผุดออกเสมอในถ้อยคำนั่นก็คือสิ่งหนึ่งที่คนทั้งหลายนั้นก็สำแดงการร้อนรนในจิตวิญญาณของผู้คนที่จะมีต่อคริสตจักรไม่ใช่มีมุมมองเดียวแค่เพียงว่าหยิบยื่นการช่วยเหลือ หยิบยื่นการนำสิ่งดีโดยวัตถุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มพูนให้กับทุก ๆ คริสตจักร นั่นไม่ใช่ลักษณะของความร้อนรนที่ถูกต้องการร้อนรนที่ถูกต้องในจิตวิญญาณที่จะมีต่อคริสตจักรพระเจ้า หรือธรรมศาลาของพระเจ้านั่นก็คือมองทุกสิ่งด้วยความห่วงใย มองทุกสิ่งในความเป็นไปได้เสมอกับพระเจ้าว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยแบบไหน เลือกเฟ้นที่จะมองดูในทุก ๆ สิ่ง ไม่ใช่ทุ่มตัว ทุ่มใจ รับสิ่งหนึ่งสิ่งใด อะไรก็ได้ เป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะเหตุที่ร้อนรนที่ปรารถนาที่จะให้สถานที่นั้นดีขึ้น ดีขึ้น เราบอกแล้วว่าสถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่จิตวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นลักษณะที่เปาโลร้อนรนจึงเป็นความจริงที่ชัดเจน ทุกวันเปาโลจะทุกข์ใจเสมอเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องกับกระบวนการแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้า เคลื่อนไหวอยู่ในสถานที่ที่ถูกนับขึ้นโดยนามของพระองค์ เพราะฉนั้นนี่คือความถูกต้องที่เราพระเจ้ากำลังสำแดงในท่ามกลางพวกเจ้า และในเวลาเดียวกันสถานที่หนึ่งที่ใดที่เป็นรูปแบบอย่างที่ดีแล้วให้กับธรรมิกชนของพระเจ้า คนทั้งหลายก็ต้องเอาใจใส่ที่จะสำแดงถึงการเสริมกำลังให้สถานที่นั้นดำรงอยู่อย่างมั่นคงลูกเอ๋ย นี่คือทิศทางมุมมองที่สมควรและถูกต้องสำหรับผู้ร้อนรนในกระบวนการของการเป็นคริสตจักรของพระเจ้า และมองสถานที่ของพระเจ้า มองธรรมศาลาของพระเจ้าอย่างถูกต้องในความร้อนรน นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าแลเห็นแล้วตัวอย่างซึ่งเปาโลเป็น ในความร้อนรนที่เขาเป็นเพราะมิฉะนั้น เจ้าจะไม่เข้าใจในถ้อยคำของเราในการเหล่านี้ เจ้าจะมองแค่ทิศทางเดียวนั่นคือนำสิ่งดีถวายไปทุกสถานที่ให้หมดนั่นคือความร้อนรนที่จะเอาใจใส่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งหมดลูกเอ๋ย ความร้อนรนที่ถูกต้อง ต้องมีความร้อนรนที่จะห่วงใยให้สถานที่ของพระเจ้าเป็นที่สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้าให้มากที่สุด เหมือนที่เปาโลเป็น แม้เขาจะอยู่ที่นั่นเป็นวาระถึง 3 เดือน เขาก็จำเป็นต้องแยกออก เพราะเขายอมรับการเหล่านั้นไม่ได้เพราะเหตุที่ใจเขาร้อนรนมุ่งปรนนิบัติพระเจ้ามากกว่ามุ่งปรนนิบัติในกระบวนการแห่งสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยจิตใจที่แข็งกระด้าง มีแต่คำพูดที่สำแดงความหยาบคายเกิดขึ้นทุกวันนี่คือความชัดเจนที่เราพระเจ้ากำลังบอกให้พวกเจ้าทั้งหลายวิเคราะห์ และสำแดงทุกกระบวนการด้วยความชัดเจนว่าจงห่วงใยเพราะฉนั้นเราพระเจ้าจึงสำแดงเสมอลูกเอ๋ยว่า ภาพลักษณ์เหล่านี้จะมีผลรวมที่สวยงามเกิดขึ้นหากเจ้าทั้งหลายสำแดงทุกกระบวนการแห่งจิตวิญญาณของพวกเจ้าด้วยประกายไฟแห่งความสว่างของเราพระเจ้าอย่างชัดเจนว่า ในทุกวันของพวกเจ้าจะประพฤติ ปฏิบัติตามกระบวนการแห่งคำสั่งสอนของเราอย่างเต็มเปี่ยมในจิตวิญญาณ จงเป็นผู้คนที่ตายจากบาปให้ได้ แล้วเจ้าจะบริบูรณ์ และถึงพร้อมในทุก ๆ สิ่ง และเจ้าจะเป็นผู้คนที่สามารถกล้าหาญที่จะลุกขึ้นอย่างชัดเจนว่า แบกกางเขนตามเราพระเจ้าได้ เพราะเจ้าจะเป็นผู้นั้นที่กล้าปฏิเสธตัวเอง การปฏิเสธตัวเองก็คือการตัดชีวิตของตนเองออกจากความบาป และตายจากความบาป นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ายืนยัน และตรัสสั่งสอนพวกเจ้า เพื่อให้เจ้ามีใจที่ปรารถนาแสวงหาหน้าของเรามากขึ้น และเจ้าจะเรียนรู้วิธีการทุกอย่างจากเราพระเจ้าอย่างชัดเจนและถูกต้อง เจ้าจะมีมุมมองที่คมชัดภายใต้ในกระบวนการอันศักดิ์สิทธิ์ และบริสุทธิ์ของเรา เราจะสำแดงซึ่งพระสิริของเราในท่ามกลางพวกเจ้า วิหารของเราโดยพระสิริของเราจะไม่พรากจากไปเลย เราพระเจ้ายืนยันแก่พวกเจ้าสิ้นทุกคน หากผู้ใดประพฤติการเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วนทุกวันควรจดจำบทบาทอันดีอย่างใดกับพระเจ้า กระทำการเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง เอาใจใส่ทั้งหมด ในทุกสิ่งสารพัดที่ตนเองสามารถกระทำได้เหมือนที่เราสอนพวกเจ้าทั้งหลายไปแล้วว่าเริ่มต้นที่ตัวเจ้า อย่าเริ่มต้นไปที่ผู้อื่นหรือมองไปที่ผู้อื่น แล้วคิดอยู่เสมอว่าให้ผู้อื่นทำก่อน หาเป็นความดีไม่ เราพระเจ้าจะยืนยันถ้อยคำของเราให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ในท่ามกลางพวกเจ้าว่าทั้งหมดที่หูของพวกเจ้าได้ยินมาโดยผ่านปากผู้รับใช้ของเรานั่นคือสิ่งดีที่เจ้าทั้งหลายควรน้อมรับ และพิจารณาอยู่เสมอให้ฝังรากหยั่งลงให้ลึกในจิตวิญญาณของเจ้า แม้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เจ้าอาจจะเข้าใจไม่ครบถ้วน เราพระเจ้าก็แจกแจงพวกเจ้าแล้วด้วยถ้อยคำหนึ่งด้วยข้อความเหล่านั้นที่เจ้าทั้งหลายจะมีใจร้อนรนกับคริสตจักรทั้งปวงของเราพระเจ้า จงแยกแยะให้ออกและทำให้ถูกวิธีในการร้อนรนเหล่านั้น นั่นคือสิ่งดีที่เราพระเจ้ายืนยันกับเจ้า การร้อนรนต้องมีผลของการกระทำออกมาอย่างถูกต้อง ร้อนรนในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างไร ร้อนรนกับสิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ร้อนรนกับธรรมศาลาที่ถูกต้องของพระเจ้าเป็นอย่างไร และร้อนรนกับธรรมศาลาที่ไม่ถูกต้องของพระเจ้าเป็นอย่างไร นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้าสำแดงให้เจ้าได้ยินได้ฟังแล้ว จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าของเจ้าเถิดผู้ใดมีจิตวิญญาณที่สัมผัสแล้วว่าสามารถลุกขึ้น และรับเอาสิ่งดีสิ่งประเสริฐได้ สามารถแยกออกจากสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ เพราะเหตุที่ใจร้อนรนแสวงหาในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าที่จะยอมปะปนอยู่กับกระบวนการที่สำแดงแล้วเหมือนที่เปาโลเผชิญนั่นก็คือสิ่งดีสิ่งประเสริฐที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว เพราะกระบวนการเหล่านั้นไม่ใช่เป็นการสำแดงว่าวาระสถานที่หนึ่งที่ใดทำผิดบกพร่อง อยู่ตลอดวันเวลาในสถานที่เหล่านั้นไม่เคยมีสิ่งดีถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้เลย คำแช่งด่า คำติฉินนินทา หรือกระบวนการแห่งความแข็งกระด้างแห่งใจของมนุษย์เต็มและล้น คนทั้งหลายก็สนับสนุนให้เพิ่มพูนอยู่ร่ำไป พระเจ้าจะได้รับเกียรติจากตรงไหนลูกเอ๋ย นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้ากำลังบอกให้พวกเจ้าทั้งหลายได้แยกแยะให้ออก และเข้าส่วนอย่างถูกต้องว่า เมื่อร้อนรนในเรื่องราวของธรรมศาลาของเรา ร้อนรนในเรื่องของพระนิเวศน์ของพระเจ้านั้น ร้อนรนในเรื่องคริสตจักรของพระเจ้านั้นต้องวางรูปแบบแห่งการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง และเข้าส่วนอย่างถูกต้องกับทุกกระบวนการที่สำแดงออกมาได้อย่างปรากฏด้วยความชัดเจนลูกเอ๋ย เพราะในเราพระเจ้านั้น ถ้อยคำของเราเสริมสร้างและแก้ไขให้คนเป็นคนดี เพราะฉนั้นทุกสิ่งที่เราสั่งสอนพวกเจ้าจึงเป็นความดีที่เจ้าทั้งหลายไม่ควรปฏิเสธ และเรายืนยันว่าผู้ใดไม่ปฏิเสธถ้อยคำของเราจะเกิดผลในชีวิตของพวกเข้าทั้งหลาย และเรายืนยันว่าคำของเรา คือคำที่สำแดงกระบวนการแห่งการชี้นำคำสั่งสอนที่นำเจ้าทั้งหลายไปถึงซึ่งความเข้าใจและรู้จักพระเจ้า และนี่ก็คือวิธีการที่เราพระเจ้าสำแดงผ่านทางคริสตจักรแห่งพระนามของเรา ถ้อยคำที่เจ้าทั้งหลายได้ยิน เป็นถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่บอกกับเจ้าในรูปแบบเช่นนี้ดอก เราจึงยืนยันกับเจ้า ส่วนหนึ่งส่วนใดที่เจ้าอาจจะไม่เข้าใจเราชี้แจงเจ้าทั้งหลายแล้ว บัดนี้จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าของเจ้าเถิดที่หูของพวกเจ้าได้ยินสิ่งประเสริฐจากการทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงของเรา ไม่ว่าจะผ่านทางคำเทศนาสั่งสอน โดยพระวิญญาณของเรา ไม่ว่าจะผ่านโดยทางคำเผยพระวจนะก็โดยพระวิญญาณของเรา เพื่อนำเจ้าทั้งหลายไปถึงจุดที่สว่างที่สุดในความเข้าใจแห่งสติปัญญาที่รับจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เราพระเจ้าสำแดงแล้วในท่ามกลางเจ้า และนี่ก็คือสิ่งที่เราพระเจ้าได้รับเกียรติแล้วในท่ามกลางพวกเจ้า เพราะเหตุที่เราสามารถทำงานผ่านมนุษย์ได้ และเราก็ได้สำแดงแล้วถึงความยิ่งใหญ่ของเราว่าเราคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ลูกเอ๋ย