ความอ่อนแอ ตอนที่ 1(Infirmities part 1)
สารบัญหลัก (Content)
 

 

แนะนำพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ สำหรับอ้างอิง สำหรับค้นคว้า เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น

  • New International Version Holy Bible (NIV)
  • King James Holy Bible
  • Amplified Holy Bible

วิเคราะห์ ที่เปาโลเรียกว่า ความอ่อนแอ (Infirmities) แปลได้หลายอย่าง แต่ในพระคัมภีร์แปลว่า ความอ่อนแอ เกี่ยวข้องกับเปาโล เหตุการณ์ในส่วนหนึ่งของชีวิตของเปาโล

คุณคงจะจำได้ในพระคัมภีร์ เรื่อง หนามใหญ่ในเนื้อ (a thorn in the flesh) ที่เปาโลกล่าวถึง เปาโลบอกว่า เหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงในจิตใจเขาตลอดเวลา มันคืออะไร

  • มันคือรากขมขื่นของเปาโลหรือเปล่า หมายถึง มีอะไรลึกๆในอดีต ที่เสียใจ หรือกวนใจ
  • เปาโลกลัวพวกทางเดิมจะมาเล่นงานหรือเปล่า คือพวกฟาริสี เพราะเปาโลมารับเชื่อพระเยซูคริสต์ พวกพ้องเดิมจึงไม่พอใจ เปาโลกลัวพวกเขาจะมาฆ่าหรือเปล่า
  • เปาโลรู้สึกเจ็บอยู่ในใจ ถึงความเป็นของโลกหรือเปล่า เมื่อเขาเข้ามาใกล้พระเจ้ามากแล้ว และรับพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว จึงรู้สึกไม่ชอบความมลทินแห่งโลกนี้หรือเปล่า เพราะมีหลายตอนที่เปาโลเขียนว่า เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ไปอยู่กับพระเจ้าดีกว่า เป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบโลกนี้ เหมือนหนามที่อยู่ในตัว
  • หนามใหญ่เป็นความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ หรือในกาย เราไม่รู้แน่ชัด ความเจ็บปวดเป็นการทรงเจิมของพระเจ้าด้วยไฟหรือเปล่า

เรื่องนี้ ต้องประกอบด้วยความรู้ของพระเจ้า หลายตอน การทรงเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางคนพอเข้าใจ บางคนไม่ยอมเข้าใจเลย เพราะไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ แต่ถ้าบอกว่าพระเจ้าทรงเจิมด้วยไฟ ยิ่งเข้าใจใหญ่ พระคัมภีร์เขียนว่า ทรงเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ แตกประโยคออกมาได้ว่า ทรงเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ ทรงเจิมด้วยไฟ

จากคำพยานของผู้รับใช้ใหญ่ๆในยุคปัจจุบัน เช่น สมิทซ์ วิงเกิลเวอด์ (Smith Wigglesworth) (เป็นผู้รับใช้ชาวอังกฤษ ในช่วงประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา) , อาจารย์ ประทาน , อาจารย์เคนเน็ท (Kenneth E. Hagin) กล่าวถึงเรื่องการทรงเจิมด้วยไฟ เจ็บปวดเหมือนการถูกตรึงร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ รับความผิดแทนคนอื่น (ที่ไม่ใช่บาปของอาดัม) ความบาปที่เกิดขึ้นใหม่ของผู้อื่น เป็นการรับมลทินของแผ่นดินโลกไว้ในตัว ถ้าเราอธิษฐานเผื่อความเจ็บป่วยไข้ของผู้อื่น เราอาจจะรู้สึกเจ็บปวด เพราะเรารับความป่วยไข้แทนผู้นั้น และผู้นั้นจะหายโรค รับโรคแทนผู้อื่น แต่ตัวผู้อธิษฐานไม่ได้เป็นโรคนั้นแทน ความเจ็บปวดที่กล่าวถึงนี้ ไม่อาจบอกได้ว่า เจ็บที่ร่างกาย หรือ เจ็บในวิญญาณ ผู้รับใช้ในยุคปัจจุบัน ได้รับการเจิมจากพระเจ้า

เคยกล่าวไว้แล้วว่า การบัพติศมา มีทั้งหมด 4 อย่าง บางท่านอาจมีความเชื่อว่า การบัพติศมามีอย่างเดียว คือ น้ำ ก็แล้วแต่ความเชื่อ ขนาดความเชื่อของท่านเถิด (บัพติศมา แปลว่า หรือ หมายถึง การชำระ , การทำให้บริสุทธิ์)

  • บัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์ (รับเชื่อในพระเยซูคริสต์)
  • บัพติศมาด้วยน้ำ
  • บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  • บัพติศมาด้วยไฟ

บัพติศมา 3 อันแรก บัพติศมาโดยผู้รับใช้นำบัพติศมา แต่อันที่สี่ บัพติศมาด้วยไฟ โดยพระเจ้าเท่านั้น และมักจะกระทำต่อผู้รับใช้ ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามาก เจิมแล้วเขาจะมีฤทธานุภาพ มีความเชื่อ มีอะไรหลายๆอย่าง เหมือนอย่างที่เปาโลเจ็บปวดนั้น ความรู้ในส่วนเหล่านี้ ท่านไม่สามารถเปิดพระคัมภีร์แล้วสามารถอ่านและตีความ หรือเข้าใจเอาเองได้ มีเรื่องใหม่ๆอีกหรือในปัจจุบัน มีซิ ในสมัยพระคัมภีร์เดิม บุตรพระเจ้าก็มีความรู้แค่นั้น แต่เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด และประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์ก็ให้ความรู้เรื่องพระเจ้าใหม่ๆมากมาย ไม่ซ้ำของเดิมด้วย ล้ำลึกและสูงกว่าเดิมอีก ในยุคปัจจุบัน พระวิญญาณบริสุทธิ์การทรงให้ความรู้ใหม่ๆแก่เรา ผ่านผู้รับใช้ผ่านผู้พยากรณ์

เป็นไปได้ไหมที่เปาโล เจ็บปวดเพราะได้รับการทรงเจิมด้วยไฟจากพระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็นับว่าเปาโลได้รับการทรงเจิมด้วยไฟมาก เพราะตามพระคัมภีร์ เปาโลเจ็บยาวนานมาก เมื่อเทียบกับผู้รับใช้ที่เป็นพยานเรื่องการทรงเจิมลักษณะนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของผู้รับใช้นั้นๆ

เปาโลต้องการอยู่ในพระวิญญาณ ผู้รับใช้หลายๆคน ถ้าอยู่ในการทรงเจิม ก็จะสามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้ และได้รับการทรงนำจากพระเจ้าชัดเจนขึ้น การวางมือหายโรค เกิดการอัศจรรย์ในชีวิตของเขา ท่านเหล่านี้ไม่ต้องการอะไรในโลกนี้ นอกจากการทรงเจิม เปาโลเองเขียนว่า เขาไม่ต้องการจะรับเงินถวายจากผู้ใด ในพระคัมภีร์เขียนว่า เปาโลไม่ต้องการเป็นภาระของผู้ใด คำถามเกิดขึ้นว่า ทำไม ก่อนหน้านี้เปาโลเอง เป็นคนมีฐานะหรือเปล่า ไม่รับเงิน เพราะเขาไม่ต้องการให้เงินซึ่งเป็นรากเง่าของความชั่วร้าย มาทำให้เขาห่างจากการทรงเจิมของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่อย่างมาก เหมือนเมาพระวิญญาณ

เพราะว่าเปาโลไม่ต้องการรับเงินจากผู้อื่นมาก จนกระทั่งมีประวัติเขียนไว้ แต่ไม่มีในพระคัมภีร์ว่า เขาเองต้องไปรับจ้างเย็นเต้นท์ เพื่อให้ได้เงินมายังชีพ เปาโลไม่ต้องการให้ตนเองนั้น เหลิง คนเรามีเงินมีทองแล้วมัก เหลิง เพราะต้องการให้อยู่ในฤทธิ์เดชของพระเจ้า เขาต้องการแสวงหาพระเจ้าอย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องอื่น

ขอหยิบยกการสอนพระคัมภีร์ 3 ส่วน มาสนับสนุนเรื่องนี้ บางท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเหล่านี้ ก็อาจจะไม่เข้าใจ

เรื่องแรก พ่อค้าที่ถามพระเยซูว่า เขาประพฤติปฏิบัติธรรมบัญญัติหมดแล้ว เขาต้องการได้พระเจ้ามากขึ้น พระเยซูถามว่า ถ้าจะเอาให้ครบถ้วน ให้ไปขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด (แล้วไม่ได้ให้ไปฝากธนาคาร) แต่ให้ไปแจกคนจนให้หมด (พระคัมภีร์บางฉบับ บอกว่าขายให้หมด แต่ไม่ได้บอกให้ไปแจกคนอื่น) ไม่ได้ให้ไปแอบเก็บไว้ หรือ ให้เพื่อน แล้วให้ตามมาเป็นสาวกของพระเยซู แล้วคุณจะเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น (ครบถ้วน) เพราะเงินและทองเป็นรากเง้าของความชั่วร้าย แต่คุณไม่ต้องการครบถ้วน ก็ไม่เป็นไร

เปาโลเองก็เช่นกัน ไม่ต้องการให้ตัวเองห่างจากพระเจ้า เปาโลจึงพูดว่า ไม่ต้องให้ตนเองเป็นภาระของผู้ใด จึงมักจะไม่ค่อยรับเงินจากผู้ใด

เรื่องที่สอง มีพระคัมภีร์เขียนว่า บุตรของชาวโลกฉลาดกว่าบุตรของพระเจ้า (พระคัมภีร์ตอนนี้ คนอ่านๆแล้วมักงง ไม่เข้าใจ) เมื่อชาวโลกเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว จิตใจที่ชั่วร้ายจะค่อยๆดีขึ้น ความคดโกง จะค่อยลดลง ถ้านักแสดงหรือตลก มารับเชื่อในพระเจ้า ต่อๆไปเขาจะแสดงอย่างที่เขาเคยทำไม่ค่อยได้ เพราะว่าจิตใจเขาอ่อนโยนลง

เรื่องที่สาม เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมใหม่ๆ ยังไม่ได้ล้มลง อาดัมไม่รู้จักความชั่ว เพราะว่าหลังจากอาดัมล้มลง พระเจ้าตรัสว่า เขารู้จักดีรู้จักชั่ว ก่อนหน้านี้เขารู้จักแต่ความดีอย่างเดียว

จิตใจที่อ่อนโยนลง จะทำให้วิญญาณของคุณจูนกับพระเจ้าได้ จะได้ยินเสียงของพระเจ้า การที่คุณขึ้นมาอธิษฐาน เป็นพยานบนธรรมมาส แล้วคุณน้ำตาไหล เพราะว่าคุณขึ้นมาอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ตรงที่มีความบริสุทธิ์มากๆ ทำให้วิญญาณของคุณร้องไห้ กั้นไม่อยู่ คุณพยายามระงับ แต่ทำไม่ได้

ผู้ที่ไม่ค่อยเชื่อ อย่างพวกฟาริสีบางคน อาจไม่เชื่อ เรื่องที่เปาโลพบพระเยซูกลางทาง ที่ไปดามัสกัส และทำให้เขาตาบอดไป 3 วัน และต่อๆมาเขาก็คุยกับพระเจ้าบ่อยมาก

ถ้าเราอยู่ในพระเจ้า แล้วเราค้าขายแย่ลง เพราะว่า เราคดโกงน้อยลง กำไรน้อยลง ก็เป็นเรื่องธรรมดา จงชื่นใจเถิด นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่พระเจ้านำมาสู่ท่าน

เปาโลเมื่อก่อนชื่อว่า เซาโล เซาโลเป็นคนที่แสวงหาพระเจ้า ดำเนินในทางของอิสราเอลทั่วไป เราไม่ทราบว่า เซาโลเรียนมามากแค่ไหน และเก่งแค่ไหน เราจะมาดูในพระคัมภีร์ว่าเปาโลเป็นอย่างไร เซาโลชอบจับคริสเตียนไปขังคุก โดยแจ้งให้ทางการโรม เป็นคนที่ชอบที่สุดในการต่อต้านข่าวประเสริฐ แต่หลังจากพบพระเยซูกลางทางแล้ว เขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ ทำไมเขาจึงเปลี่ยนไปในช่วงเวลาอันสั้น เป็นเหมือนคนติดชนัก เหมือนมีคดี สมัยเขาเป็นเซาโล เขามีโอกาสร่ำรวยหรือไม่ เมื่อเขามาประกาศข่าวประเสริฐ เปาโลก็ยังมีโอกาสที่จะแสวงหาความร่ำรวยให้กับตัวเอง เพราะว่าเขาเดินทางไปทั่ว ถ้าเขาจะสะสมทรัพย์สำหรับตัวเขาเอง ก็น่าจะเป็นไปได้

เปาโลเป็นฟาริสี ได้รับการศึกษาในกรุงเยรูซาเล็ม กจ 22:3-5 "ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายทุกวันนี้ ๔. ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้ จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขา จำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง ๕. ตามที่มหาปุโรหิตกับสภาอาจเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าได้ถือหนังสือจากท่านผู้นั้น ไปยังพวกพี่น้อง และข้าพเจ้าได้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับมัดคนทั้งหลายพามายังกรุงเยรูซาเล็มให้ทำโทษเสีย

เปาโลถูกจับ ถูกพวกเดียวกันนั่นแหละ จับไป เพราะมาเชื่อทางนั้น ทางพระเยซู พระคัมภีร์ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เปาโล ขึ้นเป็นพยานในสภาของพวกยิวและโรม เขาเป็นพยานว่า ได้ทำให้ผู้ที่เชื่อทางนั้นถึงตาย และพวกธรรมาจารย์ และสภาเป็นพยานได้ว่า เขาได้กระทำอย่างนั้นจริงๆ

กจ 5:34-39 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นพวกฟาริสี และเป็นบาเรียน เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง ๓๕. ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี ๓๖. เมื่อคราวก่อน มีคนหนึ่งชื่อธุดาส อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อย แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาปสูญไป ๓๗. ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาส เป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้น ในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไป ผู้นั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายไป ๓๘. ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิด หรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง ๓๙. แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า "

ทุกวันนี้ คริสตจักรก็ยังคล้ายๆอย่างนี้ ผู้รับใช้ที่อื่น หรือ คริสตจักรที่อื่นๆ ก็ยังด่าผู้รับใช้หรือคริสตจักรอื่น พวกท่านประชากรของพระเจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องเหล่านี้ ท่านมาแสวงหาพระเจ้า จงตั้งใจระหว่างตัวท่านกับพระเจ้าเท่านั้น ปากของท่านและความคิดของท่าน อย่าไปกล่าวโทษคริสตจักรอื่นๆ หรือ ผู้รับใช้อื่นๆ ให้เป็นเรื่องของพระเจ้าเถิด