ความอ่อนแอ ตอนที่ 2 (Infirmities part 2)
สารบัญหลัก (Content)
 

 
  • คริสเตียนที่ชอบต่อสู้ ขัดขวาง กล่าวโทษ งานรับใช้
  • คริสเตียนที่ชอบยำใหญ่ผู้รับใช้
  • ผู้รับใช้ที่ชอบดูหมิ่น กล่าวโทษ ผู้รับใช้อื่น
  • คริสเตียนที่ชอบรู้ดีกว่า ผู้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
  • ผู้ปกครอง กรรมการทั้งหลาย ที่ชอบล้ำหน้า งานรับใช้ของคนที่พระเจ้าทรงเจิมไว้

กามาลิเอล ได้กล่าวตักเตือนคนประเภทนี้ว่า ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิด หรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า" (กจ 5:38-39)

เปาโลเขียนจดหมายไปติเตียน คริสเตียนเมืองโครินธ์ ที่ในขณะนั้นมีนิสัยอย่างข้างต้นนี้ เปาโลจำเป็นต้องพูดหนัก ว่าเขาได้รับมอบหมายจากพระเจ้ามา ทั้งที่ไม่อยากจะอ้าง ไม่อยากจะอวด ว่าได้ไปบนสวรรค์รับพระบัญชามา เพราะพูดอวดกับพวกเมืองโครินธ์ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นกับตัวเปาโล แต่ก็จำเป็นต้องพูด ใน 2 คร บทที่ 12 ตั้งแต่ข้อ 1 ถึง ข้อ 6 อาจแปลได้อย่างนี้ (ตีความและแปลตามการทรงนำ ใช้ King James และ NIV เป็น Reference)

  1. ข้าพเจ้าต้องอวดอ้างต่อไป แม้จะไม่ได้อะไรขึ้นมา (I must go on boasting, Although there is nothing to be gained. [but sine it is necessary to answer my enemies at Corinth])
  2. ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อในพระคริสต์ กว่า 14 ปีแล้ว ชายผู้นั้นถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่ 3 (ในร่างกายหรือปล่าว ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ ไม่มีร่างกายหรือปล่าว ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงทราบ)

เปาโลพูดถึงตัวเอง เปาโลทำเหมือนกายวิญญาณร่างหนึ่ง กับกายเนื้ออีกร่างหนึ่ง เปาโลไม่ชอบกายเนื้อ เพราะมีแต่ตัวเก่า และเป็นเนื้อหนัง เปาโลบอกว่า ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ 3 ถูกรับขึ้นไป แบบไปทั้งร่างกาย หรือ ไปเฉพาะวิญญาณ นั้น ตัวเขาเองบอกไม่ได้ รู้แต่ว่าไป แต่ไปแบบใดไม่ทราบได้

  1. ข้าพเจ้ารู้จักชายคนนี้ (ในร่างกายหรือปล่าว ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ ไม่มีร่างกายหรือปล่าว ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงทราบ)
  2. ว่าเขา(ในข้อ3)ถูกรับขึ้นไปในเมืองบรมสุขเกษม อย่างไร (How that he was caught up into paradise) และได้ยินเรื่องราว ซึ่งห้ามบอกเล่าให้มนุษย์ฟัง

เมืองบรมสุขเกษม เป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ชั้นที่ 3 ผู้เชื่อในพระคริสต์ที่เสียชีวิตจะไปรออยู่ที่นั่น ตรงข้ามกับ แดนผู้ตาย เป็นส่วนหนึ่งของนรก ผู้ไม่เชื่อตายจากโลกนี้แล้ว ต้องไปรออยู่ที่แดนผู้ตาย (หรือบางทีใช้คำว่า ปากแดนผู้ตาย) รอวันสุดท้าย วันที่พระเจ้าทรงพิพากษา ก่อนที่จะตกนรก

สังเกตภาษาอังกฤษใช้คำว่า into paradise ไม่ได้ใช้คำว่า in หรือ on หรือ to แต่ใช้คำว่า into

และได้ยินเรื่องราว ซึ่งห้ามบอกเล่าให้มนุษย์ฟัง ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม ตรงส่วนนี้อาจแปลและตีความไปเป็นอย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง

  1. อย่างชายคนนั้น ข้าพเจ้าจะยกย่อง(สรรเสริญ) แต่อย่างตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ยกย่อง(สรรเสริญ)เลย (Of such an one will I glory: yet of myself I will not glory) แต่ในเนื้อหนังที่อ่อนแอนี้ (but in mine infirmities) ข้าพเจ้าก็ยังปรารถนาที่จะได้รับการสรรเสริญยกย่อง

เปาโลยกย่องตัวที่ขึ้นไปบนสวรรค์ แต่ไม่ยกย่องกายเนื้อหนัง

ในความอ่อนแอ เพราะเป็นเนื้อหนัง เป็นมตะ เขารู้สึกอ่อนต่อโลกนี้กว่าเมื่อก่อน เพราะเขารับสภาพพระเจ้าเข้าไปมาก (ไม่ได้หมายถึง วิญญาณ หรือ กาย ที่อ่อนสุภาพ แต่ข้าพเจ้ากำลังพยายามอธิบาย อีกสภาพหนึ่ง)

  1. ข้าพเจ้าไม่โง่ (ที่จะพูดเท็จ) เพราะข้าพเจ้าจะพูดความจริง (เรื่องที่ตัวเองขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่ 3) แต่บัดนี้ข้าพเจ้าอดกลั้นไว้ เพื่อมิให้ผู้ใดยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่ได้ยินได้ฟังข้าพเจ้า
  2. และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป
  3. เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า
  4. แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า
  5. เหตุฉะนั้น เพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

เปาโลรับสภาพพระเจ้ามาก ในความรู้สึก โลกนี้มลทินมาก ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เป็นเซาโล เหมือนบางคนที่เมื่อก่อนทำงานหรือค้าขายคดโกงมาก จิตใจไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อมารับพระคริสต์ อาการคดโกงจะน้อยลง (ยกเว้นไม่ได้รับพระคริสต์จริง) ในพระคัมภีร์เขียน บุตรของโลกนี้ฉลาดกว่าบุตรของพระเจ้า (เรื่องคนต้นเรือนอสัตย์ หนังสือลูกา บทที่ 16 ข้อที่ 8 "ด้วยว่าคนของโลกนี้ในพวกเขา เขาใช้สติปัญญาฉลาดกว่าคนของความสว่างอีก" [for the children of this world are in their generation wiser than the children of light]) ฉลาดแบบแกมโกง บุคคลจำนวนมาก หรืออาจจะส่วนใหญ่ของโลกนี้ ที่โลกเรียกว่า "ประสบความสำเร็จในชีวิต" โลกหมายถึง ร่ำรวยมีเงินมีทองมีฐานะ แต่ได้มาเพราะเหยียบหัวผู้อื่นขึ้นไป หรือคดโกง มิได้หมายความว่า บุคคลเหล่านี้มีสติปัญญาในสายพระเนตร ผู้มีสติปัญญาในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่หมายถึงผู้ที่เชื่อฟัง ขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง ประเทศตะวันตก รู้สึกเห็นใจและอภัยให้กับ ประเทศในตะวันออกกลาง หรือ ประเทศญี่ปุ่น ทั้งๆที่ได้ทำการเหี้ยมโหดในอดีต หลายคนก็รู้ตำหนิชาติตะวันตก ที่ให้โอกาสประเทศเหล่านี้มากไป

เมื่อพระเจ้าได้สร้างอาดัมใหม่ๆนั้น อาดัมไม่รู้จักความชั่ว รู้จักแต่ความดีอย่างเดียว หลังจากล้มลง (กินผลไม้ เพราะเชื่อฟังซาตาน) อาดัมรู้จักความดีความชั่ว (ปฐม 3:22 ..รู้สำนึกในความดีและความชั่ว) ฉะนั้นเมื่อบุตรของพระเจ้า หรือผู้เชื่อ รับสภาพพระเจ้า หรือ เข้าถึงพระเจ้ามากขึ้น หรือ รับพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น หรือ อยู่ในโลกของพระเจ้ามากขึ้น จะมีความรู้สะอิดสะเอียนต่อโลกนี้ หรือรู้สึกเป็นภูมิแพ้แต่การของโลกนี้ มากขึ้น เปาโลกก็เช่นกัน ตัวท่านเองก็เช่นกัน (อาจจะ)

ตรงนี้แหละ ที่เป็นความรู้สึกในความอ่อนแอ (Infirmities) ถ้ามีความชั่วความหน้าด้านมาก ก็เป็นแบบชาวโลกนี้ ถ้ามีความเกรงกลัวมีความอ่อนต่อโลก ก็มีสภาพเข้าใกล้แบบพระเจ้ามากขึ้น เราท่านต้องเลือกเอาแล้วหละ จะเอาอย่างไหน

เปาโลจึงพูดว่า เขารู้สึกเจ็บข้างใน ต่อความอ่อนของเขา แต่เขายินดีรับสภาพนี้ เพราะต้องการสภาพแบบอาดัมก่อนล้มลงมากกว่า หรือสภาพแบบพระเจ้า เมื่อมีสภาพพระเจ้ามากขึ้น หรือเข้าใกล้พระเจ้ามากกว่าบุคคลอื่น ก็มีฤทธิ์เดชมากกว่า ยอมขัดสน ยอมยากลำบาก เพราะต้องการรู้จักพระเจ้ามากขึ้น มีการอัศจรรย์อย่างพระเจ้ามากขึ้น

ขอจบเรื่องความอ่อนแอ

ในพระคำ 2 คร 12:2 มีคำว่า "สวรรค์ชั้นที่ 3" (the third heaven) เปาโลถูกรับขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ 3 แน่นอนว่าต้องเป็นชั้นที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ สวรรค์จึงมีสามชั้น ตรงกับที่ผู้รับใช้ชั้นนำ หรือผู้รับใช้แนวหน้า ในยุคปัจจุบันที่ได้เขียนหนังสือและบอกว่าองค์พระผู้เป็นได้ทรงตรัสสั่งสอนในเรื่องสวรรค์มี 3 ชั้น คือ

สวรรค์ชั้นที่ 1 หรือเรียกว่า Atmospheric heavens

  • ตั้งแต่พื้นผิวดิน จนถึงชั้นบรรยากาศ ข้อพระคำสนับสนุนคือ
  • ปฐม 1:8 พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า มีเวลาเย็น และเวลาเช้า เป็นวันที่สอง (And God called the firmament Heaven. And the evening and the morning were the second day.)
  • สดด 77:17-18 "เมฆเทน้ำลงมา ท้องฟ้าก็คะนองเสียง ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา ฟ้าผ่าของพระองค์มีเสียงอยู่ในลมบ้าหมู ฟ้าแลบทำให้พิภพสว่าง แผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน และหวั่นไหว" ตรงคำว่า ฟ้าผ่าของพระองค์มีเสียงอยู่ในลมบ้าหมู ภาษาอังกฤษเขียนว่า The voice of thy thunder was in the heaven
  • สดด 104:2 ผู้ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างดุจดังฉลองพระองค์ ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกดังขึงม่าน (who stretchest out the heavens like a curtain)

สวรรค์ชั้นที่ 2 ชั้นที่ดวงดาวอยู่

  • ปฐม 15:5 มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลายได้ (Look now toward heaven, and tell the stars)
  • ปฐม 22:17 ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล (That in blessing I will bless thee, and in multiplying I will multiply thy seed as the stars of the heaven)
  • ปฐม 26:4 เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้นดังดาวบนฟ้า (And I will make thy seed to multiply as the stars of heaven)
  • ฉธบ 1:10 และดูเถิด ทุกวันนี้พวกท่านทั้งหลายมีจำนวนมาก ดุจดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้า (and, behold, ye are this day as the stars of heaven for multitude. )
  • อสย 13:10 เพราะดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์ และหมู่ดาวในนั้น จะไม่ทอแสงของมัน ดวงอาทิตย์ก็จะมืดเมื่อเวลาขึ้น และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของมัน (For the stars of heaven and the constellations thereof shall not give their light: the sun shall be darkened in his going forth, and the moon shall not cause her light to shine.)
  • อสย 14:13 ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า (For thou hast said in thine heart, I will ascend into heaven)

สวรรค์ชั้นที่ 3 ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งได้

  • ปฐม 1:1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน (In the beginning God created the heaven and the earth. )
  • อสย 14:12-14 "โอ ดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ 13 เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า 'ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน {คือ สถานเทพชุมนุม} ณ ที่อุดรไกล 14 ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด' (How art thou fallen from heaven, O Lucifer, son of the morning! how art thou cut down to the ground, which didst weaken the nations! 13 For thou hast said in thine heart, I will ascend into heaven, I will exalt my throne above the stars of God: I will sit also upon the mount of the congregation, in the sides of the north: 14 I will ascend above the heights of the clouds; I will be like the most High.)
  • อสย 66:1สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา (The heaven is my throne, and the earth is my footstool)
  • วว 21:2 นครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ และจากพระเจ้า (new Jerusalem, coming down from God out of heaven)
  • วว 21:10 นครเยรูซาเล็ม ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์ และจากพระเจ้า (the holy Jerusalem, descending out of heaven from God)