พระองค์ทรงหลั่งพระพิโรธจัดลงมาบนเขา
แต่เขาไม่รู้ตัว
|
He hath poured
upon him the fury of his anger, yet he knew not
|
|
|
|
|
|
|
เทศนาโดย อ.สุเมธ วันอาทิตย์ที่
12 มกราคม 2003
|
|
|
|
|
|
สดด
23
|
|
|
พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ
(เพลงสดุดีของดาวิด) |
|
|
- พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ
ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
- พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
- ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
- แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
- พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์
ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน
ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
- แน่ทีเดียวที่ความดี และความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป
ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
|
|
|
มธ
23:1-36 |
|
|
พระเยซูทรงกล่าวโทษ
พวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี |
|
|
- ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชน
และพวกสาวกของพระองค์ว่า
- "พวกธรรมาจารย์ กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส
- เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน
จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน
แต่เขาเองหาทำตามไม่
- ด้วยเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่ามนุษย์
ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย
- การกระทำของเขาเป็นการอวดเท่านั้น
เขาใช้กลักพระธรรมอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว
- เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยง
และในธรรมศาลา
- กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด
และชอบให้เขาเรียกว่า 'ท่านอาจารย์'
- ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า
'ท่านอาจารย์' ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด
- และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา
เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์
- อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า
'พระครู' ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์
- ผู้ใดที่เป็นนายใหญ่ในพวกท่าน
ผู้นั้นย่อมต้องรับใช้ท่านทั้งหลาย
- ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง
ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์
พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว
เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเล และทางบกทั่วไป
เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า
- "วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด
เจ้าสอนว่า 'ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร
ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน'
- โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า
ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์
- และว่า 'ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา
คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบูชานั้น
ผู้นั้นต้องกระทำตามคำสาบาน'
- ช่างตาบอดกันเสียจริงหนอ
สิ่งใดจะสำคัญกว่า เครื่องตั้งถวาย หรือแท่นบูชาที่กระทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์
- เหตุฉะนี้ ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา
ก็สาบานอ้างแท่นบูชา และสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย
- ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร
ก็สาบานอ้างพระวิหาร และอ้างพระองค์ผู้ทรงสถิตในพระวิหารนั้นด้วย
- ผู้ใดจะสาบานอ้างสวรรค์ ก็สาบานอ้างพระที่นั่งของพระเจ้า
และอ้างพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี
และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติ คือ ความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย
การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย
- โอ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก
แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้น
เต็มด้วยโจรกรรม และการมัวเมากิเลส
- โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน
เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว
ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก
- เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ภายนอกแลดูเหมือนว่า เป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียม และอธรรม
- "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์
และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของผู้เผยพระวจนะ
และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของผู้ชอบธรรมให้งดงาม
- แล้วกล่าวว่า 'ถ้าเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น
จะได้มีส่วนกับเขา ในการทำโลหิตของผู้เผยพระวจนะให้ตก ก็หามิได้'
- อย่างนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า
เจ้าเป็นบุตรของผู้ที่ได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น
- เจ้าทั้งหลาย จงกระทำตามที่บรรพบุรุษได้กระทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด
- โอ พวกงู พันธุ์งูร้าย เจ้าจะพ้นโทษนรกอย่างไรได้
- เหตุฉะนั้น นี่แหละ เราใช้ผู้เผยพระวจนะ
นักปราชญ์ และธรรมาจารย์ต่างๆ ไปหาพวกเจ้า เจ้าก็จะฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง
เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง
- ดังนั้น บรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก
ตั้งแต่โลหิตของอาแบล ผู้ชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรบารัคยาที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสีย
ในระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น คงตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย
- เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
บรรดาผลกรรมชั่วเหล่านั้นจะตกกับคนสมัยนี้
|
|
|
มธ
12:17-21 |
|
|
- ทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นไปตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ
ว่า
- ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราซึ่งได้เลือกสรรไว้
ที่รักของเรา ผู้ซึ่งเราโปรดปราน เราจะเอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้ ท่านจะประกาศความยุติธรรมไปให้แก่บรรดาประชาชาติ
- ท่านจะไม่ทะเลาะวิวาท และไม่ร้องเสียงดัง
ไม่มีใครจะได้ยินเสียงของท่านตามถนน
- ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก
ไส้ตะเกียงเป็นควันจวนดับแล้ว ท่านจะไม่ดับ กว่าท่านจะได้นำความยุติธรรมให้มีชัยชนะ
- และบรรดาประชาชาติจะฝากความหวังไว้กับท่าน
|
|
|
อสย
42:1-4 |
|
|
- จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู
ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี เราได้เอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้แล้ว
ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปให้แก่บรรดาประชาชาติ
- ท่านจะไม่ร้อง หรือเปล่งเสียงของท่าน
หรือกระทำให้ได้ยินในถนน
- ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก
และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความสัตย์จริง
- ท่านจะไม่ริบหรี่ หรือชอกช้ำ
จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และแผ่นดินชายทะเลรอคอยพระธรรมของท่าน
|
|
|
อสย
42:5-9 |
|
|
- พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลก และสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป
ผู้ประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก
ตรัสดังนี้ว่า
- วิญญาณทุกวิญญาณบนแผ่นดินโลก
มาจากพระเจ้า
- "เราคือพระเจ้า
เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราได้ยุดเจ้า และรักษาเจ้าไว้ เราได้ให้เจ้าเป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ
เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
- เพื่อเบิกตาคนที่ตาบอด เพื่อนำผู้ถูกจำจองออกมาจากคุก
นำผู้ที่นั่งในความมืดออกมาจากเรือนจำ
- เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา
พระสิริของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก
- ดูเถิด สิ่งล่วงแล้วนั้นก็สำเร็จแล้ว
และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น เราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว
|
|
|
อสย
42:10-25 |
|
|
- จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า
เพลงยอพระเกียรติของพระองค์ จากปลายแผ่นดินโลก ทั้งผู้ที่ไปทะเล และบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น
ทั้งแผ่นดินชาวทะเล และชาวถิ่นนั้น
- จงให้ถิ่นทุรกันดาร และหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง
ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัยอยู่ จงให้ชาวเส-ลาร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา
- จงให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า
และถวายสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินทะเลทราย
- พระเจ้าเสด็จออกไปอย่างคนแกล้วกล้า
พระองค์ทรงเร้าความกระตือรือร้นของพระองค์ขึ้นอย่างนักรบ พระองค์ทรงร้อง
พระองค์ทรงโห่ดัง พระองค์ทรงแผลงฤทธิ์ต่อศัตรูของพระองค์
- เราได้นิ่งอยู่นานแล้ว เราเงียบอยู่
และรั้งตนเองไว้ บัดนี้เราจะร้องออกมาเหมือนผู้หญิงกำลังคลอดบุตร เราจะหายใจถี่
และหอบ
- เราจะทิ้งภูเขา และเนินให้ร้าง
และให้พืชผักบนนั้นแห้งไป เราจะให้แม่น้ำกลายเป็นเกาะ และให้สระแห้งไป
- เราจะจูงคนตาบอด ไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก
เราจะนำเขาไป ในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง
ที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะกระทำ และเราจะไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้
- เขาทั้งหลายจะหันกลับ และต้องขายหน้าอย่างที่สุด
คือ ผู้ที่วางใจในรูปแกะสลัก ผู้ที่กล่าวแก่รูปเคารพหล่อว่า "ท่านเป็นพระของเรา"
อิสราเอลไม่ยอมรับบทเรียน จากการถูกทรงตีสอน (คริสเตียน
บุตรพระเจ้า ประชากรของพระองค์ ปัจจุบันนี้ ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน)
- ท่านผู้หูหนวกเอ๋ย ฟังซิ
และท่านผู้ตาบอดเอ๋ย มองซิ เพื่อท่านจะเห็นได้
- ใครเป็นคนตาบอด ก็ผู้รับใช้ของเราน่ะซิ
หรือใครหูหนวกอย่างกับทูตของเรา ที่เราใช้ไป ใครตาบอดอย่างผู้ที่รับมาครบแล้ว
หรือตาบอดอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า (ผู้รับใช้พระเจ้า
ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ด้วย)
- เจ้าเห็นหลายอย่าง แต่มิได้สังเกต
หูของเขาผึ่ง แต่เขามิได้ยิน
- เพราะเห็นแก่ความชอบธรรมของพระองค์
พระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะเชิดชูพระธรรม และกระทำให้พระธรรมนั้นมีเกียรติ
- แต่นี่เป็นชนชาติที่ถูกขโมย
และถูกปล้น เขาทุกคนติดอยู่ในรู และซ่อนอยู่ในคุก เขาตกเป็นเหยื่อซึ่งไม่มีผู้ใดช่วยให้รอด
เป็นของริบซึ่งไม่มีผู้ใดพูดว่า "คืนซิ"
- ผู้ใดในพวกเจ้าจะเงี่ยหูฟังในเรื่องนี้
ที่จะมุ่งหน้าตั้งใจฟัง
- ใครมอบยาโคบให้แก่ผู้ริบ
และอิสราเอลให้แก่ผู้ปล้น ไม่ใช่พระเจ้าหรือ ผู้ซึ่งเราได้ทำบาปต่อ ซึ่งเขาไม่ยอมดำเนินในทางของพระองค์
และซึ่งเขามิได้เชื่อฟังพระธรรมของพระองค์ (บางคนทำตัวว่าเป็นผู้เชื่อ
แต่ที่แท้ เขาไม่มีพระเจ้า)
- ฉะนั้น พระองค์จึงทรงหลั่งความโกรธจัดลงมาบนเขา
และหลั่งอานุภาพของสงคราม ทำให้เขาติดเพลิงอยู่โดยรอบ แต่เขาไม่เข้าใจ
มันไหม้เขา แต่เขามิได้เอาใจใส่ (พวกที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน
แต่ยังด่าว่าคริสตจักรโน้น คริสตจักรนี้ นินทา ว่าร้าย ผู้รับใช้ ยังไม่รู้ตัวอีกว่า
พระเจ้ากำลังต่อสู้กับพวกเขา พระวจนะตั้งแต่ต้นมาจะเป็นวิบัติและคำสาปแช่งสำหรับบุคคลเหล่านี้
)
|
|
|
ยน
15:4-5 , 7-8 , 16-17
|
|
|
- จงเข้าสนิทอยู่ในเรา
และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด
ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น
- เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง
ผู้ที่สนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว
ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
- ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา
และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
- พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้
คือ เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา
- ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา
แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล
และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา
พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
- สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ
ท่านจงรักกันและกัน
|
|
|
|
|